ลายเส้นโค้งมน ขีดตรง ขีดเฉียง วงกลมทึบ วงกลมโปร่ง สลักลายตรึงลงไปในเนื้อหินแต่ละก้อนที่ถูกเรียงร้อยออกมาเป็นเครื่องประดับ ทั้งกำไล สร้อยข้อมือ สร้อยข้อเท้า สร้อยคอ นอกจากความสวยงามที่เปล่งประกายจากความแวววาวของหินแล้ว เครื่องประดับหินจากประเทศ “ทิเบต” เหล่านี้ยังมีความเชื่อแฝงว่าเป็น “หินนำโชค” นำพาสิ่งดีๆ ตลอดจนสุขภาพแข็งแรงมายังผู้เป็นเจ้าของ

แปรหินเป็นเงิน
หินทิเบต (DZI)
เป็นหินภูเขาไฟ ถูกขุดพบจากเทือกเขาหิมาลัย ในสมัยโบราณใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่างๆ เทียบเท่ากับเงินพดด้วงเบี้ยหอย ค่าเงินของไทยในอดีตก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงมาเป็นเงินหรือธนบัตรรูปแบบต่างๆที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

โซ ชุน เฮง ( Sho choon heng) ชายชาวจีนผู้นำเข้าเครื่องประดับจากหินทิเบตและเป็นเจ้าของร้าน DZI BEADS บนชั้น 2 ของห้างสรรพสินค้ามาบุญครองอธิบายวิธีการแกะลายแบบดั้งเดิม ใช้วิธีการนำก้อนหินมาแกะลวดลาย หยอดยางไม้ลงไปในเนื้อหินที่ถูกแกะออกไป นำไปเผาใช้เวลา 1 วัน 20 กว่าชั่วโมง จากนั้นเอาออกมาพักให้เย็นจึงเจาะรู ปัจจุบัน หินทิเบตที่มีความเก่าแก่หลายพันปียังสามารถนำไปใช้ซื้อของได้ “เป็นเงินใช้ในทิเบตเมื่อประมาณ 4000 กว่าปีมาแล้ว ตอนนี้หินยิ่งเก่ายิ่งแก่ ราคายิ่งสูงยังใช้เป็นเงินซื้อที่ดิน บ้าน รถ” สังเกตหินที่มีอายุเก่าแก่ด้วยการดูลาย “หินเก่าเป็นพัน-2พันปีราคาเป็นแสนเป็นล้าน หายาก พอหาได้คนมักเก็บไว้เองไม่เอาออก มาขาย หินเก่าเปรียบเหมือนผิวหน้าของเด็กไม่มีตีนกา หินใหม่ก็เหมือนกันจะมีความเรียบเงา ส่วนหินเก่ามีลายแตก ยิ่งมีอายุมากยิ่งเก่ามากลายก็จะยิ่งเยอะ”

หินทิเบตมี 4 ชนิด ได้แก่ หินสีแดงซึ่งอยู่ลึกที่สุดของภูเขา ขณะเดียวกันก็มีค่าพลังวัตรและมีมูลค่ามากที่สุด มีความเชื่อในเรื่องโชคลางความร่ำรวย “คนที่จะมีหินสีนี้ได้ต้องเป็นเศรษฐีเท่านั้น เปรียบเสมือนคนรวยในเมืองไทยชอบทอง” นอกจากหินสีแดง ยังมีหินสีดำ หินสีดำขาว และหินสีขาวหรือสีใสซึ่งอยู่ชั้นนอกสุดที่ระดับความลึกประมาณ 2-3 เมตร

หินที่นำมาใช้แทนเงินจะมีการทำสัญลักษณ์ขึ้นมาเพื่อให้เกิดความสะดวกในการนำไปใช้แลกเปลี่ยน เช่น หิน 1 ตา มีค่าเท่ากับ 1 เหรียญ หิน 2 ตาก็มีค่าเท่ากับ 2 เหรียญ และมีค่ามากที่สุดถึงหลักหมื่น เรียกว่าหินหมื่นตา โดยประดิษฐ์สัญลักษณ์บนเนื้อหินขึ้นมาใหม่ ซึ่งสัญลักษณ์นี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ เช่นเป็นรูปใบไม้ ฯลฯ หรืออาจจะมีการแกะลายพิเศษ เช่นเป็นรูปตัว S ให้มีค่าเป็นพัน หรือหมื่น

“หินทิเบตเป็นหินมีตา เรียกว่าตาฟ้า”จากการเล่าของเปรม วังภูสิทธิ์ ผู้จัดการร้านช่วยขยายเรื่องของหินทิเบตต่อไปว่าในการกำหนดสัญลักษณ์บนเนื้อหินแต่ละก้อนทำได้โดยการวัดระดับพลังของหินว่ามีพลังเพียงพอหรือไม่ “ดูคุณสมบัติของหินว่ามีค่าพลังเท่าไร ถ้ามีพลังวัตรมากก็สามารถนำไปทำหินที่มีหลายตาได้ หินบางชิ้นทำเป็นหินมีค่า 10 ตาไม่ได้เพราะพลังไม่ถึง”

เปรมเล่าต่อไปว่า เคยมีช่างทำเครื่องประดับชาวญี่ปุ่นได้นำหินจากทิเบตไปตรวจสอบคุณสมบัติด้วยเครื่องมือวัดทางวิทยาศาสตร์ที่ประเทศญี่ปุ่นพบว่ามีคุณสมบัติ 14 อย่างเหมือนกับหินบนดาวอังคาร หินทิเบตมีความแข็งประมาณ 7-8.5 “หินทิเบตมีค่าพลังวัตรมาก หินทิเบตเป็นน้ำในภูเขาไฟมาก่อน ในเนื้อหินมีสารแมงกานีส แมกนีเซียม ตามความเชื่อโบราณว่ากันว่าสามารถช่วยรักษาสุขภาพ เมื่อรู้สึกเจ็บคอแขวนหินไว้ที่คอแล้วจะช่วยให้คลายอาการเจ็บคอได้ ช่วยเรื่องโชคลาภ ความสำเร็จทางการเงิน การงาน ชีวิตและความรัก”

หินทิเบตผ่านการปลุกเสกจากพระลามะก่อนนำไปใช้ “หินทิเบตมีความงดงามมาก โดยเฉพาะที่ได้มาจากเทือกเขาหิมาลัย หินพวกนี้ผ่านการปลุกเสกก่อนที่จะนำมาจำหน่าย หินทิเบตจึงเป็นหินที่มีพลังและสามารถขับไล่วิญญาณร้าย นำพาความร่ำรวยและสุขภาพที่สมบูรณ์ ยิ่งสวมใส่นานเท่าใดพลังก็จะยิ่งมากเท่านั้น”โซ ชุน เฮงอธิบาย

จากค่าเงิน สู่เครื่องประดับนำโชค ลวดลายบนเนื้อหินมีลักษณะแตกต่างกัน เชื่อว่ามีพลังต่างกัน ความหมายก็แตกต่างกันด้วย หินที่ทำสัญลักษณ์เป็นตานั้นมีตั้งแต่หิน 1 ตา – 108 ตา ถ้าเป็นหินหนึ่งตาเชื่อว่าเป็นหินชี้นำความสว่างไสว เพิ่มพูนสติปัญญาให้มีความเฉลียวฉลาด ผู้มีหินนี้ไว้ในครอบครองจะได้พบกับความสำเร็จตามใจปรารถนา หินสองตาสื่อถึงคู่รักที่มีความรักใคร่สนิทสนมกัน เชื่อว่าจะทำให้ผู้ที่ครอบครองเป็นผู้ที่ได้รับความนับหน้าถือตาในแวดวงสังคม และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

หินสามตา เปรียบเหมือนเทพ ฮก ลก ซิ่ว นำความสิริมงคลแก่ครอบครัว มีเทพเจ้าแห่งโชคลาภคอยดูแล นำมาซึ่งความร่ำรวย ขณะที่

หินสี่ตากล่าวถึงพระโพธิสัตว์ 4 ทิศคอยช่วยให้ประสบความสุข ได้รับแต่สิ่งดีงาม และรอดพ้นจากความชั่วร้าย

หินห้าตาเป็นหินเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ช่วยให้มีชีวิตยืนยาวและมั่งคั่ง ชีวิตเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าปีติยินดี

หินหกตาเชื่อว่าหากมีไว้ในครอบครองจะทำให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค รอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ ธุรกิจประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้

หินเจ็ดตาเชื่อว่าจะทำให้กิจการมั่งคั่งเต็มไปด้วยโภคทรัพย์ มีบุพเพสันนิวาสและร่างกายแข็งแรง คบค้าสมาคมราบรื่นไปด้วยดีทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าเป็นหินแปดตาเชื่อว่าจะช่วยปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากภยันตรายต่างๆ มีผู้ใหญ่คอยอุปถัมภ์ค้ำจุน

หินเก้าตาเชื่อว่าจะช่วยให้ทำการสิ่งใดได้รับแต่โอกาสที่ดี มีชื่อเสียงอำนาจและบารมีดังกึกก้องได้รับผลประโยชน์ที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วเกินคาด

หินสิบตาเชื่อว่าช่วยให้ทำการสิ่งใดก็ได้รับความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ได้รับความนับหน้าถือตาในแวดวงสังคม อุปสรรคต่างๆถูกปัดเป่าไป

นอกจากนี้ ยังมีหินสัญลักษณ์และความหมายอื่นเช่น

หินพระโพธิ์ เชื่อว่าจะช่วยขจัดภัยพิบัติมีชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากโรคภัยต่างๆ

หินฟ้าดิน เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าเคราะห์ร้ายต่างๆออกไป ตลอดจนหลุดพ้นจากฐานะต่ำต้อย

หินกระดองเต่า เชื่อว่าทำให้มีอายุวัฒนะ ช่วยขจัดโรคภัยไข้เจ็บให้สูญสิ้น หลุดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง

หินสิริมงคล เชื่อว่านำมาซึ่งความเพียบพร้อมทั้งความสุขทั้งทางกายและทางใจ และชีวิตที่ยืนยาวเปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจและเงินตรา

หินผู้สูงศักดิ์ เชื่อว่าจะมีผู้ใหญ่คอยอุปถัมภ์ค้ำจุนและช่วยขจัดภัยพิบัติ

หินบัวนำ เชื่อว่าทำให้ผู้ครอบครองมีจิตใจที่บริสุทธิ์โอบอ้อมอารี มีแล้วอยู่เย็นเป็นสุขนำมาซึ่งความพึ่งพอใจดั่งที่ใจปรารถนา

หินนกอินทรีย์ เชื่อว่าช่วยให้รอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ มีอนาคตที่ยาวไกล กิจการรุ่งเรือง

หินเขี้ยวเสือเชื่อว่าช่วยให้หลุดพ้นจากเคราะห์ร้ายต่างๆ มีจิตใจที่แข็งแกร่งและทรหดดั่งภูผา สุขภาพแข็งแรง

หินดาวเชื่อว่าช่วยเสริมรากฐาน ฐานะให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น ปราศโรคภัย

หินภูเขาเชื่อว่าช่วยให้จิตใจแข็งแกร่งและทรหดดั่งภูผา ปราศจากความกลัวต่อปัญหาที่รุมเร้า และมีจิตใจมุ่งมั่นต่อสู้ปัญหาต่างๆอย่างกล้าหาญ

หินแก้วล้ำค่าเชื่อว่านำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลและเงินทอง ช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาวและประสบความสำเร็จในธุรกิจการค้า

หินพระโพธิสัตว์กวนอิมเชื่อว่าจะช่วยให้ผู้มีไว้ครอบครองได้รับความคุ้มครองจากพระโพธิสัตว์กวนอิม และช่วยขจัดภัยพิบัติ เป็นต้น

ที่มา: http://www.siam-handicrafts.com/