เป็นกฎง่ายๆ ที่บางครั้งเหมือนเส้นผมบังภูเขา ทำตามได้ไม่ยาก เพื่อให้เว็บไซต์เป็นที่ดึงดูดของผู้ใช้มากที่สุด
กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์ : กฎ 23 ข้อดังต่อไปนี้ เป็นการวิจัยของ 3 สถาบัน ได้แก่ The Poynter Institute, the Estlow Center for Journalism & New Media, และ Eyetools ภายใต้โครงการ “The Eyetrack III” ซึ่งศึกษาถึงกลยุทธ์การออกแบบเว็บไซต์เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ให้มากที่สุด
1. ตัวอักษรดึงดูดความสนใจได้เร็วกว่าภาพหรือกราฟฟิค
2. จุดแรกที่สายตามองคือ มุมซ้ายบนของหน้าเว็บ
3. ผู้ใช้จะมองไปที่มุมซ้ายบนของเว็บไซต์ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาลงมาด้านล่างขวาเรื่อยๆ
4. ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่สนใจมองแบนเนอร์โฆษณา
5. รูปแบบเว็บไซต์และตัวอักษรที่มีสีสันสะดุดตา มักไม่ได้รับความสนใจจากผู้ใช้
6. แสดงข้อมูลเป็นตัวเลข จะดึงดูดสายตามากกว่าเขียนเป็นตัวอักษร
7. ขนาดตัวอักษรมีผลต่อพฤติกรรมการใช้เว็บ โดยตัวอักษรเล็กๆ จะทำให้คนอ่านอย่างละเอียด ขณะที่ตัวอักษรใหญ่ ทำให้คนมองเป็นอันดับแรก
8. คนส่วนใหญ่อ่านพาดหัวรอง ในกรณีที่น่าสนใจจริงๆ
9. คนมักจะอ่านส่วนล่างของหน้าเว็บแบบผ่านๆ
10. ประโยคหรือย่อหน้าสั้นๆ ดึงดูดความสนใจของคนอ่านมากกว่า
11. รูปแบบเว็บไซต์ที่มีแถวแนวตั้งแถวเดียว ดึงดูดสายตามากกว่าหลายแถว
12. แบนเนอร์โฆษณาที่อยู่บริเวณบนสุดและซ้ายสุด จะดึงดูดสายตามากที่สุด
13. การวางโฆษณาใกล้กับคอนเทนท์ที่ดีที่สุด จะได้รับความสนใจจากผู้ใช้ค่อนข้างมาก
14. โฆษณาแบบตัวอักษรได้รับความสนใจมากกว่าโฆษณาแบบภาพหรือกราฟฟิค
15. ภาพยิ่งใหญ่ ยิ่งดึงดูดความสนใจได้มาก
16. ภาพที่ชัด ดูง่าย และถ่ายบุคคลจริงๆ จะได้รับความสนใจจากคนดู มากกว่าภาพประเภทดีไซน์จัดๆ ภาพนามธรรม (abstract) หรือภาพนายแบบ-นางแบบ
17. หน้าเว็บไซต์ก็เหมือนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เพราะฉะนั้น พาดหัวจะได้รับความสนใจมากที่สุด
18. คนส่วนใหญ่มักจะสนใจหัวข้อและเมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
19. ถ้ามีบทความยาวๆ ในเว็บไซต์หรือบล็อก หากแยกเนื้อหาออกเป็นข้อๆ จะได้รับความสนใจจากผู้อ่านมากขึ้น
20. ผู้ใช้มักจะไม่อ่านบทความที่ติดกันยาวๆ หลายบรรทัด ดังนั้น ถ้าบทความยาวมาก ควรแตกเป็นย่อหน้าย่อยๆ
21. การดึงความสนใจของคนให้อ่านบทความ ให้มากและนานที่สุด คือการใช้รูปแบบตัวอักษรที่แตกต่างกันไป เช่น ตัวหนา ตัวใหญ่ ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ หรือตัวอักษรสีต่างๆ แต่ไม่ควรใช้มากเกินไป เพราะทำให้ผู้อ่านหมดความสนใจเช่นกัน
22. เว้นที่ว่างบนหน้าเว็บบ้างก็ดี ไม่ต้องใส่ข้อมูลหรือภาพบนทุกอณูของเว็บก็ได้
23. ปุ่ม navigation ควรวางไว้บนสุดของหน้าเว็บ เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้ง่ายที่สุด
เป็นที่ทราบกันดีว่า สายพันธุ์กาแฟหลัก หรือต้นตระกูลพืชกาแฟดั้งเดิมในโลกนี้มีเพียง 4 สายพันธุ์เท่านั้น คือ 1. Coffea Arabica 2. Coffea Robusta 3. Coffea Excelsa และ 4. Coffea Liberica จากนั้นก็มีการผสมข้ามสายพันธุ์จนแยกย่อยออกไปอีกหลายชนิด
แต่ที่นิยมปลูกกันในเชิงพาณิชย์ทั่วโลกมีประมาณ 25 ชนิด และสายพันธุ์ Arabica และ Robusta ปลูกกันมากที่สุด รวมถึงในประเทศไทยเราด้วย
อาราบิกา (Arabica : Coffee Arabica)
เป็น พันธุ์กาแฟที่ผู้คนนิยมมากที่สุด มีลักษณะเด่นที่กลิ่น และรสที่หอมหวาน จึงถูกใจคนทั่วโลก อีกทั้งยังมีสารคาเฟอีนน้อยกว่า ประมาณ 1-1.6% ต่อเมล็ด แต่มีข้อจำกัดในเรือ่งพื้นที่ปลูก ประเทศไทยมีปลูกมาในจังหวัดทางภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่,เชียงราย,แม่ฮ่องสอนเป็นต้น
โรบัสต้า (Robusta: Coffee Canephora)
เป็น พันธุ์ที่ทนต่อโรค แต่มีรสชาติกระด้างกว่า ไม่อ่อนละมุนเหมือนอาราบิกา มี body สูง มีสารคาเฟอีน มากว่าอาราบิกา 2-3% ต่อเมล็ด สามารถปลูกได้ผลตั้แต่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับเหนือน้ำทะเล ประเทศไทยปลูกมากแถบภาคใต้ เช่น ชุมพร,ระนอง,สุราษฎร์ธานี เป็นต้น ในตลาดโลก กาแฟโรบัสตา ถือว่าเป็นกาแฟคุณภาพต่ำ เมล็ดดิบราคาไม่สูงนัก แต่อย่างไรก็ตาม ผลผลิตเกือบทั้งหมดของ โรบัสตามักถูกนำไปผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูปมากกว่า จึงมีการผลิตป้อนสู่ตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง
การคั่ว
การคั่วกาแฟ คือกระบวนการที่ทำให้เมล็ดกาแฟอุณหภูมิสูงขึ้น จากระดับอุณหภูมิห้องไปจนถึง 200 – 230 องศาเซลเซียส หรือประมาณ 400 – 450 องศาฟาเรนไฮต์
ใน ระหว่างการคั่ว น้ำและความชื้นที่อยู่ภายในเมล็ดกาแฟจะถูกไล่ออกไป ทำให้สีของเมล็ดกาแฟเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวแห้ง ๆ เป็นสีเขียวมัน เงา แล้วกลายเป็นสีน้ำตาลซีด จากนั้นจะค่อย ๆ เข้มขึ้นตามลำดับ หากคั่วจนเข้มมาก ๆ น้ำมันที่อยู่ภายในเมล็ดกาแฟจะหลั่งออกมาและเคลือบเมล็ดกาแฟจนเป็นเงามัน
เมล็ด กาแฟที่คั่วสุกแล้วน้ำหนักจะเบาขึ้นประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากน้ำและความชื้นถูกไล่ออกไป แต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นประมาณ 1 เท่าตัวเลยทีเดียว ยิ่งคั่วเข้มมาก น้ำหนักก็จะหายไปมาก แต่ขนาดก็จะใหญ่มากขึ้น
เครื่อง คั่วกาแฟนั้นมีหลายแบบ หลายขนาด ตั้งแต่เครื่องคั่วขนาดเล็ก แบบที่ใช้ได้ตามบ้านหรือห้องทดลอง ไปจนถึงขนาดกลาง และขนาดใหญ่ แบบที่ใช้ในร้านหรือโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีทั้งแบบที่ใช้ความร้อนโดยตรง หรือแบบที่ใช้อากาศร้อนเป็นตัวทำให้เมล็ดกาแฟสุก
ผู้ คั่ว หรือผู้ควบคุมเครื่องคั่ว (Roast Master) ต้องมีความเชี่ยวชาญในการดูสี หรือเทียบสีของเมล็ดกาแฟที่คั่วได้ และจะต้องทราบถึงคุณสมบัติของเมล็ดกาแฟแต่ละชนิดเป็นอย่างดี จึงจะได้เมล็ดกาแฟคั่วที่มีคุณภาพ และรสชาติตามที่ต้องการ
ใน ขั้นตอนการคั่ว สีของเมล็ดกาแฟเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะโดยส่วนใหญ่เราจะใช้สีของเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วเป็นตัวแบ่งระดับความ เข้มของกาแฟ ซึ่งหมายถึงการบ่งบอกคุณสมบัติและรสชาติของกาแฟด้วยเช่นกัน
การ แบ่งระดับความเข้มของกาแฟด้วยสีนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ในแต่ละระดับจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ
ระดับ แรกสุดคือ ระดับอ่อน หรือ Light Roast มีชื่อเรียกต่าง ๆ เช่น Half City หรือ Cinnamon Roast กาแฟที่คั่วระดับนี้จะมีสีน้ำตาลอ่อน คล้ายสีของซินนาม่อน หรืออบเชยนั่นเอง
การ คั่วระดับนี้ เรียกได้ว่าเป็นระดับการคั่วที่คงความหอมและคุณสมบัติดั้งเดิมของกาแฟไว้ได้ มากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วจะมี Acidity หรือความเปรี้ยว สดชื่นสูง และมีรสฝาดอยู่มาก
ระดับ ปานกลาง หรือ Medium Roast ซึ่งในบางครั้งจะมีผู้เรียกว่า Full City บ้าง หรือ American บ้าง เมล็ดกาแฟจะมีสีน้ำตาลเข้มปานกลาง ให้รสชาติขมปนหวาน มีความเปรี้ยวเล็กน้อย เป็นระดับการคั่วที่ให้ความกลมกล่อมของกลิ่นและรสชาติของกาแฟได้ดีที่สุด
ระดับ เข้ม หรือ Dark Roast และยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกเช่น Continental Roast หรือ Vienna Roast เมล็ดกาแฟที่คั่วในระดับนี้จะมีสีน้ำตาลค่อนข้างเข้ม มีรสชาติขม ปนหวานเล็กน้อย แต่ไม่เปรี้ยว มีกลิ่นฉุนของกาแฟคั่วปนกับกลิ่นหอมของกาแฟแท้ ๆ
สุด ท้ายคือระดับเข้มมาก หรือ Very Dark Roast ซึ่งยังเรียกกันไปต่าง ๆ อีก เช่น French Roast , Italian Roast หรือ Espresso เมล็ดกาแฟจะมีสีน้ำตาลเข้ม เกือบดำ มีน้ำมันเคลือบอยู่จนมันเป็นเงา รสชาติค่อนข้างขม มีความหวานอยู่บ้างเล็กน้อย ไม่มีความเปรี้ยวหลงเหลืออยู่เลย และมีกลิ่นกาแฟคั่วที่ฉุนกว่าระดับอื่น
อย่าง ไรก็ดี ไม่มีตัววัดที่แน่ชัดลงไปว่า การคั่วและสีในระดับต่าง ๆ นั้น ระดับใดจะได้รสชาติมาตรฐานที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับชนิดของเมล็ดกาแฟดิบ วิธีการชงแบบต่าง ๆ รวมทั้งความพึงพอใจของผู้ดื่มอีกด้วย
เสน่ห์กาแฟ
เอสเพรสโซ (Espresso)
หัว กาแฟเข้มข้น ที่ได้จากการชงเมล็ดกาแฟผสม แบบเอสเพรสโซ ด้วยเครื่องชงเฉพาะที่มีแรงดันที่เรียกว่า เครื่องเอสเพรสโซ จะได้น้ำกาแฟเพียงแค่แก้วเล็กๆ ออกมา เวลาดื่มเราควรรีบดื่มทันทีขณะที่ชงเสร็จใหม่ๆ เพราะว่ารสชาติที่ดีที่สุดของเอสเพรสโซอยู่ที่ตอนชงเสร็จค่ะ
อเมริกาโน (Americano)
อเมริกาโน มีไว้เพื่อตอบสนองท่านที่ชอบทานกาแฟดำ แต่อาจจะหนักไปกับการดื่มแบบเอสเพรสโซ เพราะอเมริกาโน เป็นการนำเอาชอตเอสเพรสโซ ผสมกับน้ำ จะเป็นน้ำร้อนหรือน้ำเย็น ก็แล้วแต่ว่าคุณจะเลือกร้อนหรือกาแฟเย็นในเวลานั้น
ลาเต้ (Latte)
ลาเต้ มีไว้สำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟใส่นมนะคะ เพราะหลักการเบื้องต้น คือการนำเอาชอตเอสเพรสโซ ผสมเข้ากับนมร้อน หรือนมเย็น(แล้วแต่ชอบ) รสชาติที่ได้ก็จะเป็นกาแฟที่ใส่นมแล้ว ไม่เข้มข้นมากเหมือนกับเอสเพรสโซ หรืออเมริกาโนค่ะ
คาปูชิโน (Cappuccino)
กาแฟคาปูชิโนนี้ จะมีส่วนผสมเช่นเดียวกับกาแฟลาเต้ นั่นก็คือ ชอตเอสเพรสโซ นมร้อน และฟองนม แต่ความแตกต่างจะอยู่ตรงที่กาแฟคาปูชิโน มักจะมีปริมาณของฟองนมที่มากกว่าลาเต้ หรืออีกนัยหนึ่งคือมีปริมาณของนมร้อนที่น้อยกว่านั่นเอง คนที่นิยมฟองนมเยอะๆ จึงไม่ควรพลาดกาแฟคาปูชิโนค่ะ
ฟองของคาปูชิโน่นั้นได้จากการตีนมร้อน ปัจจุบันมีแก้วตีนม (Milk Whip) หรือใช้เครื่องตีไข่แบบมือถือ หรือเบลนเดอร์แทนก็ได้ เริ่มด้วยการอุ่นนมให้ร้อนจนเกือบเดือด แล้วตีด้วยอุปกรณ์ดังกล่าว ควรลวกโถเบลนเดอร์ หรือตะกร้อตีไข่ด้วยน้ำเดือดก่อนเพื่อรักษาอุณหภูมิ อุณหภูมิของนมที่ใช้ตีมีความสำคัญมาก นมจะต้องร้อนจัดเกือบเดือดแต่ไม่ถึงกับเดือด จึงจะตีขึ้นและ ฟองหนา และหากใช้นมที่มีไขมันสูงก็จะได้ผลดีกว่านมพร่องไขมันค่ะ
มอคค่า (Mocha)
สำหรับมอคค่า จะเหมาะกับคนที่ชอบดื่มกาแฟที่มีความหอม หวานมัน ของช็อกโกแลตผสมอยู่ด้วย เพราะ กาแฟแก้วนี้ จะประกอบไปด้วย ชอตเอสเพรสโซ น้ำเชื่อมช็อกโกแลต นมร้อน และมักจะปิดหน้าด้วยวิปครีมนุ่ม ใครยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันล่ะก็ ดื่มกาแฟ มอคค่า เข้าไปสักแก้ว รับรองว่าต้องอิ่มแน่ค่ะ
ที่มา:
- Thaicoffeelivers
- Zana's bean coffee
- OKnation
- iyahooo@Exteen
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกาแฟ
- TEA&COFFE บทความใน Cocktailthai
- ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับธุรกิจกาแฟ จาก สถาบันอาหาร คลิกที่นี่
- Coffee Recipes สูตรกาแฟทั่วโลก
- Drinksmixer -- สูตรกาแฟมากมาย
ก๊าซชีวภาพ (Biogas) ทำได้ง่าย ประโยชน์มากมาย
23/5/51 Posted by Samyface Musics at 21:12 | Labels: How to??ก๊าซชีวภาพคืออะไร
ก๊าซชีวภาพคือ ก๊าซที่เกิดจากมูลสัตว์ หรือสารอินทรีย์ต่าง ๆ ถูกย่อยสลายโดยเชื้อจุลินทรีย์ในสภาพไม่มีอากาศ ทำให้เกิดก๊าซขึ้น ซึ่งก๊าซที่เกิดขึ้นเป็นก๊าซที่ผสมกันระหว่างก๊าซชนิดต่าง ๆ ได้แก่ก๊าซมีเทน (CH4) ก๊าซไนโตรเจน (N2) และก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) แต่ส่วนใหญ่แล้วจะประกอบด้วยก๊าซมีเทนเป็นหลัก ซึ่งมีคุณสมบัติติดไฟได้
ประโยชน์ที่ได้รับจากระบบก๊าซชีวภาพ
1. ด้านพลังงาน ก๊าซชีวภาพจุดติดไฟ และให้ความร้อนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ใช้หุงต้มอาหาร จุดตะเกียงให้แสงสว่าง ใช้กับเครื่องกกลูกหมู เครื่องทำน้ำอุ่น ใช้กับเครื่องยนต์ผสมอาหารสัตว์ เตาอบผลผลิตทางการเกษตร
นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อเดินเครื่องยนต์เพื่อใช้ในการผลิตพลังงานกลในการขับพัดลมปรับอากาศหรือใช้ขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อผลิตไฟฟ้า
2.ด้านการป้องกันและรักษาสิ่งแวดล้อม การนำมูลสัตว์ไฟหมักในสภาพไร้อาการในบ่อก๊าซชีวภาพ มูลสัตว์ที่นำมาหมักจะถูกย่อยสลายทำให้กลิ่นและไข่แมลงต่าง ๆ ที่มีอยู่ในมูลสัตว์จะถูกทำลายลงไปในขณะที่มีการหมัก ซึ่งจะทำให้ผลมลภาวะการระบาดของแมลงและกลิ่นได้
3.ให้ปุ๋ยอินทรีย์ในการฟื้นฟูสภาพดิน กากจากบ่อล้นประกอบด้วยธาตุอาหารพืชพวกไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซี่ยมที่เป็นประโยชน์กับพืชและอยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ทันที อีกทั้งกากบ่อล้นยังทำให้โครงสร้างดินเกาะตัวกันได้ดีขึ้นซึ่งมีผลทำให้อินทรีย์วัตถุคงสภาพในดินได้นานซึ่งดีกว่าการใช้อินทรีย์วัตถุในรูปอื่น ๆ
4.ลดปริมาณโรคพืชและการระบาดของวัชพืช การหมักสภาพแบบไร้อากาศ ทำให้ปริมาณของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคพืชบางชนิดลดลงได้ และยังมีส่วนในการทำลายความงอกงามของเมล็ดวัชพืช เมื่อนำมูลสัตว์ทีได้จากากรหมักไปใช้แล้วไม่ก่อให้เกิดการระบาดของวัชพืช
ถึงตอนนี้ก็คงสนใจก๊าซชีวภาพกันแล้วนะคะ จะเห็นได้ว่าสามารถผลิตก๊าซกันได้ทั่วไป เพราะฉะนั้นเราก็มาดูข้อมูลว่าเค้าผลิตกันยังไง มีเทคนิคยังไง และต้องมีปัจจัยอะไรในการผลิตนะคะ ซึ่งข้อมูลที่มีอยู่ในอินเตอร์เน็ตมีมากมายนะคะ จึงรวบรวมมาให้ค่ะ
Howstuffworks "How Fat Cells Work
16/5/51 Posted by Samyface Musics at 13:59 | Labels: Health-Fitness, How to??Inside This Article
1. Introduction to How Fat Cells Work
3. Fat Storage
The difference in fat location comes from the sex hormones estrogen and testosterone. Fat cells are formed in the developing fetus during the third trimester of pregnancy, and later at the onset of puberty, when the sex hormones "kick in." It is during puberty that the differences in fat distribution between men and women begin to take form. One amazing fact is that fat cells generally do not generate after puberty -- as your body stores more fat, the number of fat cells remains the same. Each fat cell simply gets bigger!
Howstuffworks "What if I never changed the oil in my car?
Posted by Samyface Musics at 13:49 | Labels: How to??Oil is an essential lubricant in your engine. It lets metal press against metal without damage. For example, it lubricates the pistons as they move up and down in the cylinders. Without oil, the metal-on-metal friction creates so much heat that eventually the surfaces weld themselves together and the engine seizes. Which is not good if you're trying to get somewhere. On the other hand, if you want someone else not to get somewhere, then draining the oil out of his or her engine is an effective roadblock!
Let's say that your engine has plenty of oil, but you never change it. Two things will definitely happen:
- Dirt will accumulate in the oil. The filter will remove the dirt for a while, but eventually the filter will clog and the dirty oil will automatically bypass the filter through a relief valve. Dirty oil is thick and abrasive, so it causes more wear.
- Additives in the oil like detergents, dispersants, rust-fighters and friction reducers will wear out, so the oil won't lubricate as well as it should.
Eventually, as the oil gets dirtier and dirtier, it will stop lubricating and the engine will quickly wear and fail. Don't worry, this isn't going to happen if you forget to change your oil one month and it goes over the recommended change interval by 500 miles. You would have to run the same oil through the engine for a long time -- many thousands of miles -- before it caused catastrophic failure.
Let's say we did want to colonize the moon. There are some basic needs that the moon colonists would have to take care of if this were any sort of long-term living arrangement. The most basic fundamentals include:
- Breathable air
- Water
- Food
- Pressurized shelter
- Power
Think about what's going to happen if you decide to stop bathing:
- You'll smell bad.
- Your skin and hair gets dirtier and dirtier.
- Your chance of infection goes up.
- You'll probably itch a lot more, and this could lead to an even higher risk of infection.
Consider what's going to get and remain dirty if you never bathe.
1. Introduction to How Steam Engines Work
3. Boilers
Steam engines powered all early locomotives, steam boats and factories, and therefore acted as the foundation of the Industrial Revolution. In this article, we'll learn exactly how steam engines work!
The microwave oven is one of the great inventions of the 20th century -- you can find them in millions of homes and offices around the world. At one time or another, we've all been told not to use metal products, especially aluminum foil, when cooking with a microwave oven. Stories of incredible explosions and fires usually surround these ominous warnings. Why is that? Let's take a look at how microwave ovens work to find out.
...Tiny sharp pieces and thin pieces of metal are a different story. The electric fields in microwaves cause currents of electricity to flow through metal. Substantial pieces of metal, like the walls of a microwave oven, can usually tolerate these currents without any problems. However, thin pieces of metal, like aluminum foil, are overwhelmed by these currents and heat up very quickly. So quickly in fact, that they can cause a fire. Plus, if the foil is crinkled so that it forms any sharp edges, the electrical current running through the foil will cause sparks. If these sparks hit something else in the oven, perhaps a piece of wax paper, you'll probably be reaching for the fire extinguisher...
Howstuffworks "What if I put aluminum foil in the microwave?
...Waterfalls are also strangely tricky to define. Geologists sometimes have a hard time defining where a waterfall truly ends and begins. So how do waterfalls work? Are they just there all of the time, continually spilling over the edges of mountains, or do they actually form and change over time? To learn about waterfalls, read the next....
Inside This Article
1. Introduction to How Waterfalls Work