แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Health-Herbal แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Health-Herbal แสดงบทความทั้งหมด


ขิง GINGER ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Rosc. วงศ์ ZINGIBERACEAE
ชื่ออื่น ขิงแกลง ขิงแดง(จันทบุรี) ขิง (เชียงใหม่) สะเอ ( กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน )

ขิงมีรสเผ็ดตามความแก่อ่อนของอายุขิง ขิงอ่อนมีรสเผ็ดน้อย ขิงแก่จะมีรสเผ็ดมากขึ้นตามลำดับ
สรรพคุณ ช่วย ดับกลิ่นคาวในอาหาร ใช้ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน เพราะในเหง้าขิงแก่ มีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วย GINGEROL และ SHOGAOL แก้อาการท้องอืดเฟ้อ ขับลม ลดอาการไอ และระคายคอ จากการมีเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับเหงื่อ ขับน้ำนม แก้อาการเมารถเมาเรือ แก้บิด บำรุงธาตุ ช่วยในด้านการไหลเวียนของโลหิต ช่วยลดความดัน ช่วยลดคลอเลสเตอ รอล ช่วยลดการอักเสบ ช่วยแก้ปวด ผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่มักมีอาการเมายาสลบให้จิบน้ำขิงเข้มข้นสักครึ่งช้อนชา จะช่วยแก้อาการเมายาได้:

จีนเป็นชนชาติเก่า แก่ ที่มีการใช้ประโยชน์ จากขิงมายาวนาน แพทย์จีนโบราณ จัดขิงเป็นพืชรส เผ็ดอุ่น มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ บำรุงกระเพาะ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ลดคลอเลสเตอรอล ที่สะสมในตับและเส้นเลือด ชาวบ้านทั่วไปจะรู้ดีว่า ถ้าต้มขิงกับน้ำตาลอ้อย จะช่วยแก้หวัด ถ้าใช้ขิงสดปิดที่ขมับทั้งสองข้าง จะช่วยแก้ปวดหัว และถ้าเอาขิงสอดไว้ใต้ลิ้น จะช่วยแก้อาการกระวนกระวาย แก้คลื่นไส้อาเจียนได้ดี

แพทย์จีนโบราณจะใช้ประโยชน์จากขิงสดและขิงแห้ง ในแง่มุมที่ต่างกัน
ขิงแห้ง ในภาวะที่ขาดหยาง ภาวะขาดหยาง คือ ภาวะที่ร่างกายอาการเย็น หนาวง่ายทนต่อความเย็นได้น้อย การย่อยอาหารไม่ดี เป็นต้น ทั้งยังมีการใช้ขิงแก่ ในคนไข้ปวดข้อรูมาติกส์ม

ขิงสดจะ ใช้กำจัดพิษที่เกิดจากการติดเชื้อภายในร่างกาย โดยการขับพิษออกมาทางเหงื่อ ขิงสดช่วยทำให้ร่างกาย ปรับสภาพในภาวะที่ร่างกาย มีอาการเย็นได้เช่นเดียวกับขิงแห้ง

ลดการคลื่นไส้อาเจียน โดยใช้ขิงสด 30 กรัม ( 3 ขีด) สับให้ระเอียดต้มทานน้ำในขณะท้องว่าง
ช่วยขับเสมหะ โดยใช้ขิงสดคั้นเอาแต่น้ำ ประมาณครึ่งถ้วยผสมน้ำผึ้ง 30 กรัม ( 6 ช้อน) อุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน
แก้หวัดหน้าหนาว โดยการใช้ขิงสดทุบหรือขูดให้เป็นฝอย หรือขิงแห้งก็ได้ ใส่ในกะละมังน้ำอุ่น เติมน้ำผึ้งลงไปด้วยเล็กน้อย แช่เท้า กลิ่นของขิงที่หอมกลุ่นจะกระตุ้นให้จมูกโล่ง ศรีษะโล่ง ร่างกายสามารถต่อสู้กับหวัดได้ และผิวหนังที่แช่เท้าอยู่ก็จะรู้สึกนิ่มนวลขึ้น ไม่แห้งกร้าน
แก้อาการปวดข้อ ปวดศรีษะ ด้วยการใช้น้ำขิงอุ่นๆ จุ่มผ้า แล้วนำมาประคบตามข้อที่ปวดหรือศรีษะ อาการจะทุเลาลง
ด้าน ความงาม ใช้ถูหนังศรีษะเพื่อกันผมร่วง นอกจากนี้ยังคั้นเอาแต่น้ำผสมน้ำมันมะกอก หมักผม แล้วนวดให้ทั่วศรีษะ เอาหมวกพลาสติกคลุมไว้ แล้วใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นทั้งผืนในอุณหภูมิที่อุ่นจัด บิดให้หมาด แล้วคลุมศรีษะไว้ประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วจึงล้างออก จะทำให้ผมสวย นิ่ม และแข็งแรง ไม่ขาดง่าย
++ ในญี่ปุ่นพบว่าขิงมีฤทธิ์บำรุงหัวใจ ลดความดันโลหิต ลดคลอเลสเตอรอล ในด้านความงาม ใช้ขิงสดขูดเป็นฝอย แล้วใช้นวดละเลงลงบนต้นขา ก้น หรือส่วนที่เป็นไขมันผิวส้ม หรือมีเซลล์ลูไลท์ ขิงจะช่วยทำให้ผิวส้มนั้นกระจายตัว ไม่เกิดให้เกิดผิวขุรขระ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเรียบเนียนขึ้น

++ ในอินเดียใช้ขิงในการทาถูนวด เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ใช้ลดการอักเสบของตับ แก้ปวด ลดอาการบวมน้ำ ใช้เป็นยากระตุ้นการอยากอาหาร เป็นยาช่วยย่อย ช่วยขับลมในลำไส้ นอกจากนี้ยังช่วยทำความสะอาดปากและคอ ช่วยระงับการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยกระตุ้นกำหนัด ใช้ขิงผงแห้งละลายน้ำอุ่น ทาที่หน้าผากรักษาอาการปวดหัว

++ กรีกจะใช้ขิงช่วยย่อยอาหาร และช่วยแก้พิษ ใช้ขิงในการรักษาอัมพาต โรคปวดปลายประสาท และโรคเก๊าท์ ชาวอาหรับโบราณใช้ในการกระตุ้นความกำหนัด ส่วนคนยุโรบใช้ขิงในการช่วยย่อย ช่วยรักษาอาการท้องอืดจากการดื่มเหล้า ช่วยขับลม ทั้งยังใช้ในการรักษาโรคเก๊าท์ และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต

++ นักสมุนไพรรุ่นใหม่ของตะวันตกใช้ขิงในการช่วยย่อยอาหาร ช่วยในการไหลเวียนของโลหิต และลดการคลื่นไส้อาเจียน จากการเคลื่อนไหวที่ไม่สมดุล (motion sickness) รวมทั้งให้ใช้ลดการคลื่นไส้อาเจียนจากการแพ้ท้อง แต่คนท้องไม่ควรรับประทานเป็นประจำ:

นายแพทย์โบน อังกฤษ ใช้รักษาอาการปวดศีรษะทั้งชนิดสองข้าง และข้างเดียว (ไมเกรน) ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะบ่อยๆ แนะนำให้ดื่มน้ำขิงเข้มข้นเป็นประจำ หรือไม่ก็รับประทานขิงสดบ่อยๆ เชื่อว่าสารเคมีที่อยู่ในขิงจะสามารถปรับระดับสารกึ่งฮอร์โมนที่เรียกกันว่า สารไอโคซ านอยด์ (eicosanoid) ทำให้อาการปวดศีรษะบรรเทาลง

นายแพทย์ กฤษณะ ศรีวัสทวา เดนมาร์ก แก้อาการแน่นหน้าอก รักษาอาการท้องร่วง โดยเฉพาะช่วงที่มีโรคอหิวาห์ระบาด ใช้รักษาหวัด ไอน้ำมันหอมระเหยจากน้ำขิงจะช่วยทำลายไวรัสหวัดในทางเดินหายใจ ลดอาการเจ็บข้อ โดยเฉพาะในคนที่เป็นโรครูมาติซึ่ม ให้ผู้ป่วยหมั่นรับประทานขิงสด ลองเพิ่มขิงเข้าไปในอาหารทุกมื้อ อาการปวดข้อจะทุเลาลง ช่วยป้องกันโรคหัวใจและรักษาโรคกระเพาะ การรับประทานขิงปริมาณมากๆ จะทำให้เลือดแข็งตัวเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง เชื่อว่า สารจินเจอรอลจะแสดงฤทธิ์ต้านการเกิดลิ่มเลือดได้เช่นเดียวกับแอสไพริน (ไม่มีผลต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารอีกด้วย)

น้ำขิงพาสเจอร์ไรท์
ขิงที่นำมาทำน้ำขิงพาสเจอร์ไรส์เป็นขิงอ่อนรสเผ็ดน้อย ไม่ต้องปอกเปลือกจะทำให้น้ำหอมดีขึ้น
นำ ขิงอ่อนมาล้างน้ำให้สะอาด ไม่ต้องปอกเปลือกแล้วนำมาทุบให้แตก นำไปแช่น้ำซึ่งผสม *กรดซิตริก (กรดมะนาว) เพื่อไม่ให้ยางขิงออกมา ทำให้น้ำขิงดำ นำไปต้มในน้ำร้อน ที่เดือดพล่าน ในอัตราส่วน น้ำ ๘ ลิตร/ขิง ๑ ก.ก ต้มอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง นำมาผสมกับน้ำเชื่อม นำมาพาสเจอร์ไรส์ และบรรจุขวด เก็บเข้าห้องเย็น

*กรดซิตริก หมายถึง กรดผลไม้ ซึ่งมีอยู่ในผลไม้ เช่น ส้ม มะนาว ในการทำน้ำผลไม้ มักนิยมใช้ กรดซิตริกผสมแทนน้ำตาลทราย เพราะ กรดซิตริกจะทำให้ได้รส กลิ่น ในความเป็นธรรมชาติมากกว่า แทนที่จะเป็นรส กลิ่นที่ออกเป็นน้ำเชื่อมหรือน้ำหวาน

 

ที่มา : http://www.meeboard.com

เก๋ากี้ (Chinese Wolfberry)

2/5/51 |

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เก๋ากี้ เป็นผลของต้นเก๋ากี้ เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้รับประทานกันในหมู่ชาวจีน ผลที่สุกแล้วจะมีสีแดงเหมือนเลือด จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ฮ่วยกี้" เป็นยาบำรุงชั้นดี ในอดีต เป็นผลไม้บรรณาการที่ใช้ถวายแด่ฮ่องเต้

เก๋ากี้มีปลูกทั่วไปในประเทศจีน แต่ที่ปลูกในมณฑล หนิงเซี่ย กานซู่ เหอเป่ย ส่านซี เก๋ากี้ที่ดีต้องมีเม็ดใหญ่ สีแดง เนื้อหนา อ่อนนิ่ม รสหวาน การเก็บรักษา ควรเก็บไว้ในที่แห้ง ระวังอย่าให้ชื้น มิฉะนั้นจะทำให้เสื่อมคุณภาพ หรือขึ้นรา

 

ส่วนที่ใช้ : ส่วนที่ใช้กันมากคือเมล็ด

สารสำคัญ : แคโรทีน, ไทอามีน, วิตามิน ซี เอ และบี 2, น้ำตาล, โปรตีน

สรรพคุณ : แก้ไอ วิงเวียนศีรษะ บำรุงไต เลือด ตับ และสายตา ใน Compendium of Materia Medice ของจีน บันทึกไว้ว่า เก๋ากี้ บำรุงไต บำรุงปอด บำรุงสายตา รักษาโรคตาบอดกลางคืน

ตำรับยา

ปวดหลัง ปวดเอว

เก๋ากี้ และ โต่วต๋ง จำนวนพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน หรือใช้ปรุงอาหาร

บำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย

เก๋ากี้ ตังกุย โสมคน เส็กตี่ ปาเก็ก อย่างละพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน

บำรุงประสาท กล่อมประสาท ทำให้หลับสบาย

เม็ดเก๋ากี้ เนื้อลำไยแห้ง อย่างละ 1 ลิตร เติมน้ำ 10 ลิตร ต้มจนเนื้อยาเปื่อย กรองเอากากยาทิ้ง เคี่ยวต่อจนได้น้ำข้นๆ รับประทานครั้งละ 2 – 3 ช้อนโต๊ะ วันละหลายๆครั้ง

แก้อาการตามัว ตาบอดกลางคืน

ดอกเก๊กฮวย ปาเก็ก และเก๋ากี้ จำนวนพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน

เก๋ากี้เป็นผลของต้นเก๋ากี้ เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้รับประทานกันในหมู่ชาวจีน ผลที่สุกแล้วจะมีสีแดงสด จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ฮ่วยกี้" เป็นยาบำรุงชั้นดี ในอดีตเป็นผลไม้ที่ใช้เป็นเครื่องบรรณาการ

 

ถวายแด่ฮ่องเต้

เก๋ากี้มีปลูกทั่วไปในประเทศจีน เก๋ากี้ที่ดีต้องมีเม็ดใหญ่ สีแดง เนื้อหนา อ่อนนิ่ม รสหวาน เก๋ากี้ที่มีคุณภาพดีไม่ได้มีรสหวานเพียงอย่างเดียว แต่จะมีรสออกขมและให้ความชุ่มคอไปพร้อม ๆ กัน ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่าหากชิมเก๋ากี้ดูแล้วได้รสหวานอย่างเดียวยังถือว่าไม่ได้เป็นเก๋ากี้ที่ดีเท่าไร ยอมรับกันว่าเก๋ากี้ที่ดีที่สุดต้องมาจากมณฑลหนิงเซี่ยเท่านั้น เก๋ากี้มีเบต้าแคโรทีนสูง มีวิตามินอีมากซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมีกรดกำมะถันเอมีน แคลเซียมธาตุเหล็ก และวิตามินบี 2 สำหรับการเก็บรักษา ควรเก็บไว้ในที่แห้ง ระวังอย่าให้ชื้น มิฉะนั้นจะทำให้เสื่อมคุณภาพ หรือขึ้นราได้

การแพทย์แผนจีนจัดให้เก๋ากี้เป็นยารสหวาน มีธาตุเป็นกลาง บำรุงเลือด ไตและสายตา ช่วยทำให้ผมดำ บำรุงผิวพรรณ คนจีนเชื่อว่าเก๋ากี้ทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง เป็นยาอายุวัฒนะ มักจะใช้กับคนที่ไม่มีแรง อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ตามัว ปวดเมื่อยเอว ปวดเข่า ประจำเดือนไม่ปกติ ไอเรื้อรัง เลือดจาง และมีอาการของตับและไตอ่อนแอ และเพราะว่าเก๋ากี้มีความเป็นกลาง แพทย์จีนจึงบอกว่าหากมีอาการหวัด ตัวร้อน อาหารไม่ย่อย ท้องผูก อุจจาระเหลวไม่ควรกิน เนื่องจากเก๋ากี้มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว จากงานวิจัยใหม่ ๆ พบว่าเก๋ากี้มีผลในการเสริมภูมิต้านทานโรคเพิ่มจำนวนของเม็ดเลือดขาวในร่างกาย ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเลือด ป้องกันไขมันพอกตับ และช่วยทำให้เซลล์ตับทำงานได้ดีขึ้น บำรุงโลหิต ตับ และไต ช่วยลดความร้อน และบรรเทาอาการโรคไขข้อ รูมาติก บำรุงสมรรถภาพทางเพศ บรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะหน้ามืดตาลาย บำรุงสายตา และโรคตาบอดกลางคืน ช่วยทำให้นอนหลับสบาย บำรุงกำลัง บรรเทาอาการอ่อนเพลีย บรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว

 

วิธีใช้เก๋ากี้แบบที่ง่ายที่สุดคือเอาเก๋ากี้มาครั้งละ 1 ช้อนชา ถึง 1 ช้อนโต๊ะ ชงแบบชา ดื่มต่างน้ำทั้งวัน หรือไม่เช่นนั้นก็นำมาปรุงอาหารในชีวิตประจำวัน เช่น ทำโจ๊ก โดยเอาเก๋ากี้ สัก 1 ช้อนโต๊ะต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแกง ต้มเคี่ยวนานประมาณ 10-20 นาที แล้วจึงนำเอาน้ำมาต้มข้าวจนเละเป็นโจ๊ก หรือเอามาตุ๋นไก่ ตุ๋นกระดูกซี่โครงหมู ต้มฟัก เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถนำเก๋ากี้มาเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ โดยสกัดเป็นน้ำผลไม้สกัดเข้มข้น รสชาติอร่อย ไว้เสริมสร้างและบำรุงสุขภาพ แม้ว่าจะอยู่ในรูปน้ำผลไม้แต่ด้วยสูตรเฉพาะและเทคโนโลยีการผสมผสานด้วยความเย็นภายใน จะยังคงไว้ซึ่งสารอาหารครบถ้วน ที่เราเรียกกันว่า น้ำโกจิ ซึ่งมีโมเลกุลหลักที่ร่างกายต้องการใช้เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดีมีอายุยืนยาว นอกจากทำน้ำผลไม้แล้ว ยังสามารถใช้เก๋ากี้ประมาณครั้งละ6-12 กรัม ต้มรับประทานน้ำหรือทำเป็นยาเม็ดลูกกลอน หรือดองเหล้าก็ได้ หรือเอาเก๋ากี้ต้มจนเปื่อยกรองเอากากออก ทำเป็นขนมรับประทานเป็นของว่าง หรือดื่มเก๋ากี้แทนน้ำชาก็ได้

 

เก๋ากี้ยังสามารถเอามาใช้กับสมุนไพรหรือยาจีนอื่น ๆ เพื่อเสริมฤทธิ์ตัวยาอื่นให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากเอาเก๋ากี้มาใช้กับรังนก ในอัตราส่วน 1:2 ต้มรังนกก่อนแล้วนำมานึ่งรวมกัน เติมน้ำตาลกรวด ดื่มครั้งละถ้วย เล็ก ๆ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จะดีสำหรับผู้ที่มีอาการไอแห้ง มีอาการร้อนชื้นในตอนบ่าย เหงื่อออกผิดปกติยามหลับ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง หากคราวต่อไปต้องทำอาหารหรือเครื่องดื่มอย่าลืมนึกถึงเก๋ากี้ใช้เสริมสุขภาพสำหรับคนในครอบครัว.

 

เก๋ากี้ - kohyohdo.com

เจ้าตำรับยาอายุวัฒนะอย่างชนชาติจีน  มีสมุนไพรหลายชนิดที่ผู้หญิงจีนนิยมนำมากินเพื่อประทินโฉมและบำรุงร่างกาย  มีขายตามร้านขายยาสมุนไพรจีนทั่วไป

โสม เป็นสมุนไพรที่มีราคาแพงมาก  เพราะปลูกยากและต้องใช้เวลาเลี้ยงดูนาน  3-7 ปีขึ้นไป  จึงจะเอามาทำยาได้  ส่วนที่นำมาใช้ก็คือราก  มีกลิ่นหอมอ่อนๆ  รสหวาน  ชุ่มคอคล้ายรากชะเอกเทศ  แพทย์จีนเชื่อในสรรพคุณว่าโสมช่วยบำรุงพลังชีวิต  ปอด  ม้าม  แก้อาการเหงื่อออกมาก  หัวใจเต้นเร็ว  นอนไม่หลับ  ความจำเสื่อม  ฯลฯ  แพทย์ปัจจุบันพบว่า  ในรากโสมมีสารชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน  ช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังสดชื่นเปล่งปลั่ง  ไม่เหี่ยวแห้งหรือแตกเป็นขุย  มีสารต้านอนุมูลอิสระ  ชะลอความเสื่อมของร่างกาย  คนจีนจึงเชื่อว่ากินโสมแล้วอายุยืนนั่นเอง

ตังกุย แพทย์จีนมักจะจัดตังกุยให้หญิงวัยทอง  เพราะเชื่อว่ามีธาตุอุ่น  สรรพคุณบำรุงโลหิต  กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต  ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปรกติ  แก้ปวดประจำเดือน  ลดอาการร้องวูบวาบ  เพิ่มเม็ดเลือดสำหรับผู้หญิงที่โลหิตจาง  อีกทั้งยังบำรุงตับและม้ามด้วย

ไข่มุก นอกจากจะกินเพื่อความงามแล้ว  ชาวจีนยังใช้ไข่มุกในการรักษาโรคต่างๆ  หลายโรค  แม้จะไม่มีผลพิสูจน์ทางการแพทย์ออกมาแน่ชัดว่าไข่มุกมีสรรพคุณรักษาโรคได้จริง  แต่ก็ยังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิงจีน  ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส  แต่ก็มีข้อบ่งใช้ว่าหญิงสาวที่ยังไม่มีลูกไม่ควรกินเกินปีละ  4 ตำลึง  เนื่องจากจะทำให้มดลูกบีบตัวและมีบุตรยาก

หอสิ่วโอว จัดว่าเป็นยาบำรุงชั้นดีของคนจีน  มีสรรพคุณช่วยบำรุงตับ  บำรุงไต  บำรุงเลือด  แก้ปัญหาผมหงอกก่อนวัย  กล้ามเนื้อและผิวหนังเหี่ยวแห้ง  ถ้ากินเป็นประจำจะทำให้หน้าตาแจ่มใส  มีน้ำมีนวล  ผมดกดำสลวยไม่แห้งแตกปลาย

แปะฮวยแปขี่เฉ้า จัดเป็นยาถอนพิษขนานหนึ่งของจีนซึ่งนิยมใช้มาตั้งแต่โบราณใช้ถอนพิษได้หลายชนิด  เช่น  พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย  พิษจากพืชบางชนิด  เป็นต้น

จิงจูฉ่าย  เป็นผักชนิดหนึ่ง  กลิ่นหอม  แพทย์จีนเชื่อว่าเป็นยาเย็น  ช่วยแก้ไขได้  ความเย็นของจิงจูฉ่ายยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงปอด  ช่วยฟอกเลือก  ทำให้เลือดอุ่นและไหลเวียนได้ดี  คนจีนจึงนิยมนำผักชนิดนี้มาประกอบอาหารกินกันในหน้าหนาว

กระเพาะปลา ในกระเพาะปลาพบว่ามีสารคาซิเลต  ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง  แม้จะยังไม่เป็นที่ประจักษ์ว่าสารนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร  (เช่นเดียวกับหูฉลาม)  แต่คนจีนก็เชื่อว่าทำให้ร่างกายอบอุ่น  เลือดลมไหลเวียนดี  มีพละกำลัง  จึงนิยมกินในหน้าหนาวเช่นกัน  จัดเป็นอาหารบำรุงร่างกายชั้นดีชนิดหนึ่ง

นอกจากการพักผ่อนให้เพียงพอ  กินอาหารที่มีประโยชน์  หลีกเลี่ยงปัจจัยหรือพฤติกรรมที่สงสัยว่าทำให้เกิดปัญหาผิวพรรณด้วยตัวเองแล้ว  การวินิจฉัยและแก้ไจที่ถูกต้องแม่นยำอาจต้องพบผู้เชี่ยวชาญค่ะ

 

สมุนไพรจีน บำรุงความงามจากภายใน - For Mum And Me