แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Good Article-Fengshui แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Good Article-Fengshui แสดงบทความทั้งหมด

สีกับวันเกิด

17/1/53 |

บริวาร หมายถึง ลูกดี ลูกน้องดี
อายุ หมายถึง สุขภาพ อารมณ์
เดช หมายถึง อำนาจ บารมี
ศรี หมายถึง ความอ่อนโยน ความน่ารักน่าเอ็นดู ความใจเย็น ความรัก
มูลละ หมายถึง การเงิน ทรัพย์สิน
อุตสาหะ หมายถึง ความอดทน ความเพียรพยายาม
มนตรี หมายถึง มีคนอุปถัมภ์ค้ำชู
กาลกิณี หมายถึง ไม่ดี
สีเหลือบ คือสีที่เราไม่สามารถ ฟันธง ว่ามันคือสีอะไรกันแน่ตัวอย่างเช่น สีของไข่มุก หรือ สีของโอปอล...
สีของคนวันจันทร์
สีบริวาร คือ สีขาว ครีม เหลือง
สีอายุ คือ สีชมพู สีม่วง
สีเดช คือ สีเขียว
สีศรี คือ สีดำ เทา น้ำตาล (เสริมราศี)
สีมูละ คือ สีส้ม
สีอุตสาหะ คือ สีเหลือบ
สีมนตรี คือ สีฟ้า
สีกาลกิณี คือ สีแดง
สีของคนวันอังคาร
สีบริวาร คือ สีชมพู สีม่วง
สีอายุ คือ สีเขียว
สีเดช คือ สีเทา ดำ น้ำตาล
สีศรี คือ สีส้ม
สีมูละ คือ สีเหลือบ
สีอุตสาหะ คือ สีฟ้า
สีมนตรี คือ สีแดง
สีกาลกิณี คือ สีขาว ครีม เหลือง
สีของคนวันพุธ
สีบริวาร คือ เขียว
สีอายุ คือ สีเทา ดำ น้ำตาล
สีเดช คือ สีส้ม
สีศรี คือ สีเหลือบ
สีมูลละ คือ สีฟ้า
สีอุตสาหะ คือ สีแดง
สีมนตรี คือ สีขาว ครีม เหลือง
สีกาลกิณี คือ สีชมพู ม่วง
สีของคนวันพฤหัสบดี
สีบริวาร คือ สีแสด
สีอายุ คือ สีเหลือบ
สีเดช คือ สีฟ้า
สีศรี คือ สีแดง
สีมูละ คือ สีขาว ครีม เหลือง
สีอุตสาหะ คือ สีชมพู ม่วง
สีมนตรี คือ สีเขียว
สีกาลกิณี คือ สีเทา ดำ น้ำตาล
สีของคนวันศุกร์
เดช - ครีมขาวเหลือง
บริวาร-ฟ้า
อายุ-แดง
ศรี-ชมพู ม่วง
มูลละ-เขียว
มนตรี-ส้ม
อุตสาหะ เทา, ดำ, น้ำตาล
กาลกิณี-เหลือบ
สีของคนวันเสาร์
สีบริวาร คือ สีเทา ดำ น้ำตาล
สีอายุ คือ สีแสด
สีเดช คือ สีเหลือบ
สีศรี คือ สีฟ้า
สีมูละ คือ สีแดง
สีอุตสาหะ คือ สีขาว ครีม เหลือง
สีมนตรี คือ สีชมพู ม่วง
สีกาลกิณี คือ สีเขียว
สีคนเกิดวันอาทิตย์
บริวาร แดง
อายุ ขาว ครีม เหลือง
เดช ชมพู ม่วง
ศรี เขียว
มูลละ ดำ น้ำตาล เทา
อุตสาหะ ส้ม
มนตรี เหลือบ ควันบุหรี่
กาลกิณี ฟ้า
Trick of the Day
การ ใส่เสื้อผ้าสีกาลกิณี ไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะครับ เพียงแต่เราจะไม่เป็นจุดเด่นในสายตาคนอื่นเท่านั้น อย่างเช่น พวกดารานักแสดงถ้าใส่พวกเสื้อผ้าสีกาลกิณี หรือแต่ตัวสีกาลกิณี ก็จะทำให้เราไม่เป็นจุดเด่นของคนอื่น ไม่ค่อยมีคนเขามาทักทาย ได้มีโลกส่วนตัวเป็นของตัวเองในเวลาเที่ยวได้ เป็นต้น
ถ้าเป็นคนเจ้าอารมณ์ให้ลดการใช้สีที่เป็นเดช ให้ไปใช้สีที่เป็นศรีเพิ่มขึ้นเพื่อจะช่วย Drop อารมณ์ของเราได้
แต่ในทางกลับกันถ้าเป็นคนที่ขี้เกรงใจคนก็ให้ใช้สีที่เป็นเดชเพิ่มขึ้นค่ะ จะช่วยให้เราเป็นคนมั่นใจและ เข้มแข็งเพิ่มมากขึ้นด้วย
กาลกิณี หมายถึง ไม่ดี ต้องห้าม แต่ ในของที่ดี ก็มีด้านไม่ดี และในของที่ไม่ดีเช่นกาลกิณีก็ยังมีด้านดีด้วยเช่นกันครับ ประมาณว่าถ้าใช้สีกาลกิณีเป็นกระเป๋าสตางค์เงินก็จะไม่ค่อยออก แต่ก็ไม่ค่อยมีเงินเข้าเหมือนกัน
คุณควรใช้กระเป๋าสตางค์ 2 ใบ ใบเล็ก เป็นกาลกิณีใส่สตางค์ไว้ ส่วนอีกใบเป็นใบใหญ่เพื่อใส่กระเป๋าใบเล็ก เพราะสีกาลกิณีเงินไม่ออก แต่สีของมูลละเป็นทรัพย์สินเงินทองนะ เงินเข้า
เงิน ไม่ค่อยออกในที่นี้ไม่ได้แปลว่าในกระเป๋าตังไม่มีเงินนะ แต่ประมาณว่าวันนี้จะไปซื้อเสื้อซักตัว เดินแล้วเดินอีกก็อาจจะหาไม่ได้ หรือเจอแบบที่ต้องการแต่ไม่มีขนาดเราอะไรประมาณเนี้ย
แต่ในทางกลับ กันถ้าใช้สีมูลละมาเป็นกระเป๋าตังก็เตรียมตัว shop สะบั้นหั่นแหลกเลยล่ะ แต่เงินก็เข้ามาเยอะด้วยเหมือนกัน เลือกเอาว่าจะใช้แบบไหน
ใช้กระเป๋าสองใบ มูลละ ใบนึง กาลกิณีใบหนึ่ง พอได้เงินมา ก็เอาเงินไปใส่ใน กาลกิณี เข้าแต่ไม่ออก
จริงๆถ้าให้ดีควรที่จะมีทั้งสีกาลกิณีและมูลละอยู่ในกระเป๋าเดี่ยวกันมากกว่านะ
ถาม เกิดวันพฤหัสบดีอยากทราบว่าเวลาไปขายของควรใช้เสื้อผ้าและกระเป๋าเก็บเงินสีอะไร
ตอบ ไปรับทรัพย์ใช้สีมูลละครับ ส่วนไปช้อปปิ้งก็กาลกิณี นั่นแหละครับ
Aurseeyou.net
พบกับรายการ อ๋อซียู ได้ทุกวันอาทิตย์ 9:30 - 10:00 น. ทางช่อง 5 ครับ หลังรายการครอบจักรวาล
รายการ "อ๋อ ซี ยู" นั้นเป็นรายการแนะนำแนวทางชีวิต โดยยึดหลักพยากรณ์ในหลายศาสตร์ และใช้ความสามารถพิเศษที่คุณอ๋อมีอยู่ในตัว เพื่อเปิดมุมมืดให้สว่าง เพื่อประโยชน์ต่อสังคม สร้างความมั่นใจว่าผู้ชมรายการนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของความงมงาย และความเชื่อในเรื่องของการพยากรณ์แบบไร้ทิศทาง รวมทั้งแนะวิธีการเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นแบบมีสติ กตัญญู ยึดหลักทางศาสนา ไม่ลุ่มหลงงมงาย เปิดมุมมองให้ผู้ชมเห็นครบ จนรู้คิด รู้จักเลือก คัดกรอง ทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตประจำวัน และให้ผู้ชมตระหนักอยู่เสมอว่าชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อมีวันพลาดพลั้ง ก็ต้องมีวันที่ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน เหมือนคำที่คุณอ๋อใช้พูดอยู่เสมอว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเปลี่ยนได้ ถ้ามนุษย์มีสติ มนุษย์เป็นผู้เลือก ผู้กระทำ”

ที่มา : รายการอ๋อซียู ช่องห้า‎

(หมายเหตุ ข้อเขียนต่อไปนี้เป็นเพียงความเห็นของผมเท่านั้น ไม่มีหลักวิชาการรองรับ เพียงแต่มีวัตถุประสงค์ให้นำเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไปลองคิดเล่น ๆ เพื่อความสนุกในการศึกษาทฤษฎีบุคลิกภาพเก้าแบบเท่านั้น อย่าไปใช้เพื่ออ้างอิงโดยเด็ดขาด)

มีจุดสำคัญจุดหนึ่งที่ผมพิจารณาแล้วเห็นว่าแปลกดี ในฐานะคนที่เผอิญศึกษาเรื่องบุคลิกภาพเก้าแบบ และแถมยังศึกษาโหราศาสตร์ด้วย ผมว่าต้องมีจุดอะไรสักอย่างที่เหมือนกับว่าทั้งสองสิ่งมีรากเหง้ามาจากความเชื่อเดียวกัน

โหราศาสตร์ที่นำมาเทียบเคียง ผมจะนำเอาโหราศาสตร์ไทยมาเทียบเป็นหลัก เพราะเป็นตำราเก่าแก่ และไม่แน่ว่าอาจจะเก่าแก่เทียบเท่ากับทฤษฎีบุคลิกภาพเก้าแบบเลยด้วยซ้ำ โหรไทยนั้นส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่านำมาจากอินเดีย และอินเดียก็มีวัฒนธรรมเก่าแก่ แถมทิศทางการเคลื่อนของวัฒนธรรมทางหนึ่งผมก็คาดว่าจะอยู่ในอาณาเขตที่ ทฤษฎีบุคลิกภาพเก้าแบบถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน

ดาวที่ใช้ในโหราศาสตร์ไทยมีอยู่ 10 ดวง มีสองดาวไม่ใช่ดาวจริง ๆ แต่เหมือนคิดให้มันสอดรับกับบุคลิกภาพเก้าแบบ ดาวดวงที่สิบ คือดาวมฤตยู หรือ ยูเรนัส เพิ่งค้นพบทีหลัง คนโบราณไม่สามารถเห็นดาวดวงนี้ได้ก็เลยไม่นำมาเทียบเคียง

เราใช้สัญลักษณ์โหรแทนดาวที่ใช้เป็นตัวเลขดังนี้ครับ

อาทิตย์คือดาว 1 จันทร์คือดาว 2 อังคารคือดาว 3 พุธคือดาว 4 พฤหัสคือดาว 5 ศุกร์คือดาว 6 เสาร์คือดาว 7 ราหูคือดาว 8 (ดาวนี้ไม่มีจริง แต่เป็นจุดคราส) เกตุคือดาว 9 (ไม่มีจริงอีกเหมือนกัน แต่เป็นจุดตรงข้ามคราส)

เอาดาว 1 ดาวอาทิตย์เทียบกับบุคลิกภาพแบบที่ 1 จะเห็นว่า คล้ายกัน อาทิตย์มีลักษณะของความเนี้ยบ โอ่อ่า เจ้ายศเจ้าอย่าง คนแบบที่ 1 ก็ชอบความสมบูรณ์แบบ สะอาด เกลียดการทำอะไรไม่ได้มาตรฐาน

ดาว 2 ดาวจันทร์ เทียบกับบุคลิกภาพแบบที่ 2 จะเห็นว่าดาวจันทร์รักสวยรักงาม ใจดี มีเมตตา คนแบบที่สองก็ชอบบริการคนอื่นสุด ๆเหมือนกัน

ดาว 3 ดาวอังคาร เทียบกับบุคลิกภาพแบบที่ 3 อังคารนั้นกล้าขยันอยู่แล้ว คนแบบที่ 3 ก็มีนิสัยบ้างานเสียด้วยสิ

ดาว 4 ดาวพุธ เทียบกับบุคลิกภาพแบบที่ 4 เจรจาอ่อนหวานทายพุธ เป็นคนที่รู้ใจคน เก่งในการพูด การสื่อสาร บุคลิกภาพแบบที่ 4 จับความรู้สึกคนเก่ง ศิลปะนั้นเป็นเรื่องของคนแบบที่ 4 อยู่แล้ว ต่างกันนิดเดียวที่ดาวพุธเป็นดาวเข้าสังคมซึ่งก็น่าจะมาแตกลูกเพี้ยนเอาที หลัง แต่คนแบบที่ 4 ชอบเก็บตัว แต่ทั้งสองสื่อสารเก่งทั้งคู่

ดาว 5 ดาวพฤหัส เทียบกับคนแบบที่ 5 พวกพฤหัสนี่คือพวกที่มีความรู้สูง ถือเป็นดาวครูอยู่แล้ว คนแบบที่ 5 ก็บ้าข้อมูลเป็นนักวิชาการสุด ๆเหมือนกัน

ดาว 6 ดาวศุกร์ เทียบกับคนแบบที่ 6 ดาวศุกร์นี้เป็นพวกมากเสน่ห์ แล้วคนแบบที่ 6 นี่ก็ทำตัวเป็นคนที่รักของคนอื่นง่ายเสียด้วย

ดาว 7 ดาวเสาร์เทียบกับคนแบบที่ 7 ดาวเสาร์เป็นพวกชอบลุยอะไรหนัก ๆเถื่อน ๆ ขึ้นเขาลงห้วย ลำบากแค่ไหนก็ไม่บ่น พวกคนแบบที่ 7 ก็เป็นนักผจญภัย ชอบความแปลกใหม่สร้างสีสรรให้ชีวิตไปเรื่อยอยู่แล้ว ต่างกันอยู่นิดนึงเขาว่าดาวเสาร์เป็นดาวทุกข์ แต่พวกคนแบบที่ 7 นี่พวกสุขนิยมมันยังไงกันหว่า ลองค้นตำราดูก็ถึงบางอ้อ นั้นคือการประเมินค่าของดาวในโลกตะวันตกกับตะวันออกต่างกัน โหรตะวันตกมองว่าดาวเสาร์เป็นดาวดี เพราะชาวตะวันตกรักการทำอะไรติดดินลุยไปเรื่อย แต่คนตะวันออกมองว่าเป็นเรื่องยากลำบากอย่างคนไทยร้อยทั้งร้อยไม่ค่อยเห็นสอนลูกให้เป็นชาวนาอย่างพ่อ มีแต่จะให้เป็นเจ้าคนนายคน ข้อต่างก็อยู่ตรงนี้เอง

ดาว 8 ราหู เทียบกับคนแบบที่ 8 ราหูเป็นดาวที่ลุ่มหลงมัวเมา แต่จุดหลักคือการครอบงำดาวอื่น และคนแบบที่ 8 ก็ชอบจะครอบงำให้คนอื่นมาเป็นลูกน้องตัวเองเสียด้วยสิ

ดาว 9 ดาวเกตุเทียบกับคนแบบที่ 9 ดาวเกตุเป็นดาวกลาง ๆ อยู่กับใครเขาก็ได้ ไม่มีศัตรู และแถมยังเพิ่งพลังให้กับดาวที่ไปอยู่ด้วยเป็นสองเท่าเสียอีก คนแบบที่ 9 เป็นคนแบบที่ทำงานเป็นทีมร่วมกับคนอื่นได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด ไม่มีพิษมีภัย มีแต่ช่วยหมู่คณะ ใครว่าอะไรว่าตามกัน ตรงเผงเลย

ผมมีกลอนดาวคู่มิตรคู่ศัตรูอยู่สองบท ลองนำมาเปรียบเทียบกับบุคลิกภาพทั้ง 9 แบบดูนะครับ คิดเล่น ๆ สนุกๆ เป็นการบ้าน แล้วจะยิ่งทึ่งกับความมหัศจรรย์ของบุคลิกภาพ 9 แบบ ลองดูก็ได้เริ่มจากดาวคู่มิตรก่อนนะครับ

  • อาทิตย์เป็นมิตรกับครู (1*5)
  • จันทร์โฉมตรูคู่พุธนงเยาว์(1*4)
  • ศุกร์ปากหวานอังคารรับเอา (3*6)
  • ราหูกับเสาร์เป็นมิตรแก่กัน(7*8)

มาดูกลอนดาวคู่ศัตรูบ้าง เขาว่ายังงี้ครับ

  • อาทิตย์ผิดกับอังคาร(1-3)
  • พุธอันธพาลวิวาทราหู(4-8)
  • ศุกร์กับเสาร์เป็นเสี้ยนศัตรู(6-7)
  • จันทร์กับครูเป็นอริกัน(2-5)

ก็ให้เผอิญดาวเกตุ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครเขาเสียด้วย เป็นมิตรกับเขาไปทั่วเหมือนกัน เลยไม่ได้บรรจุไว้ในกลอนสักบท

คุณลองเปลี่ยนดาวเป็นบุคลิกภาพแล้วเอาลักษณะมาเทียบเคียงทีเถอะแล้วจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมจะบอกใให้มีเคสหนึ่งในหนังสือจำได้แม่นเลย ผัวเมียคู่หนึ่งมีปัญหา ผัวมีบุคลิกภาพแบบที่ 8 และเมียมีบุคลิกภาพแบบที่ 4 ตรงกันเด็ะ

คิดเล่น ๆเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยภาคผนวกนะครับ อย่าจริงจังมากอันนี้ผมคิดเทียบเคียงเอาเองไม่มีอะไรรองรับ อย่านำไปใช้อ้างอิงในข้อมูลทางวิชาการใด ๆเด็ดขาด ถ้าจะให้เป็นข้อมูลทางวิชาการต้องหาเงินให้ผมทำวิจัยก่อนนะครับ

ทั้งนี้เพื่อให้พวกเรารู้สึกทึ่งและสนุกกับการศึกษาทฤษฎีบุคลิกภาพเก้าแบบเหมือนกับผมเท่านั้นแหละ

 

ที่มา:http://www.dekisugi.net/enneagram

"ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ" เขาว่ากันไว้แบบนี้ แต่ถ้าจะบอกว่าดวงตาสื่อนิสัยของคนได้เหมือนกัน จะเชื่อกันไม๊คะ ก่อนจะบอกว่า เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ลองไปอ่านด้านล่างกันก่อนดีกว่านะ
คนที่มีตายาว มีประกายแวววาวเจิดจรัส ว่ากันว่า ... จะเป็นคนมีบุญวาสนา
คนที่มีตาดำและขาวดูใสบริสุทธิ์ ว่ากันว่า ... เป็นคนมีสติปัญญาดี
คนที่มีตาโตตาดำเด่นชัดกว่าตาขาว อายุจะยืนหมื่น ๆ ปี
ถ้าสาวใดมีตาขาวมากกว่าตาดำ จะมีนิสัยดุร้ายถึงขั้นเจี๋ยนผู้ชายที่ทำให้เธอแค้นได้
หากตาขาว ผสมด้วยตาดำมีประกาย จะเป็นคนชอบความฟุ้งเฟ้อ ไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตัวเอง มีชีวิตคู่กระท่อน กระแท่น
สาวที่มีดวงตาโตและดำขลับ ดวงตาแบบนี้เป็นที่ใฝ่ฝัน ของหนุ่ม ๆ ทั้งประเทศ มองอะไรก็ชอบมองตรง ๆ ไม่วอกแวก เธอจะมีดวงส่งเสริมผู้ชายให้เจริญรุ่งเรือง ส่วนตัวเธอเองก็จะมีความสุขตลอดกาล
สาวที่มีตาดำและตาขาวแจ่มใส เป็นคน ซื่อสัตย์คบได้ หนุ่ม ๆ ฟังเอาไว้ว่าเธอนี่แหละจะ จงรักภักดีต่อสามีจนชีวิตจะหาไม่ เรื่องเปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อยไม่เกิดขึ้นกับเธอเด็ดขาด
สาวที่มีขอบตาดำ ขนตาดก ลูกนัยน์ตาหวานเยิ้ม หรือตาแหลมเล็ก เธอเป็นสาวไฟแรงสูง มีความคิด ไม่แคร์สังคม เธอจึงไม่ยอมอยู่ในกรอบสังคม แหวกม่านประเพณีเป็นสิ่งที่เธอชอบมาก
สาวๆ ที่ตาเล็กเบ้าตาลึก แสดงว่าเป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหวง่าย ใครอย่าไปพูดผิดหูเป็นอันขาด เพราะเธอจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ถึงขั้นเลิกคบกันไปเลยได้
ผู้ชายที่ตาซ้ายเล็ก ขอต้อนรับคุณเข้าเป็นสมาชิกชมรมกลัวเมีย
แต่ถ้าตาเล็กและตาดำขุ่นมัว แสดงว่าเป็นคนมีจิตใจรวนเร เอาแน่เอานอนไม่ได้
ถ้าดวงตามีประกายแข็งกล้า ไม่สะทกสะท้าน แสดงว่าเป็นคนทะนงถือดี
ถ้าชอบชำเลืองมองคน ด้วยหางตาในระยะสั้น เป็นคนใจคอโหดเหี้ยม
แต่ถ้าชำเลืองมองด้วยหางตาสูงขึ้นมาหน่อย เป็นคนอารมณ์ร้อน
หาก ชอบชำเลืองมองคนด้วยหางตา แถมตาเขเล็ก ๆ หรือที่เรียกว่าตาเอก เป็นคนโลภมากในทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องบนเตียงด้วย เพราะสาวหรือหนุ่มที่มีตาลักษณะนี้ จะเป็นคนมีนิสัยเจ้าชู้ ชอบทอดสายตาเชิญชวนไปเรื่อยเปื่อย
คนที่ตาโปน มีสายตาฉายประกายแวววาว นี่ก็เป็นคนเจ้าชู้เหมือนกัน มักมากในเรื่องกาเม สาว ๆ ระวังให้ดีเพราะหนุ่มประเภทนี้ชอบฟันแล้วทิ้ง !!!
ถ้าตาโปนแต่มีประกายดุดัน ตำราว่าเป็นคนอายุสั้น
แต่ถ้าตาโตแต่หน้าตาเปล่งปลั่งดูมีสง่าราศี เตรียมรับทรัพย์ได้ เงินทองจะไหลมาเทมา

 

ที่มา: sanook.com

โหงวเฮ้ง แปลว่าการพิจารณาดูลักษณะทั้ง 5 ประการ ซึ่งได้แก่ คิ้ว หู ตา จมูก ปากและส่วนประกอบจากใบหน้า รูปร่าง อิริยาบทต่างๆ เช่น การเดิน ยืน นั่ง ลุก นอน การพูด การฟังน้ำเสียงจากการพูด ทางโทรศัพท์ การรับประทานอาหาร การดูจากราศี บางครั้งการพบปะผู้คนในสังคมปัจจุบัน เราก็ไม่สามารถ คาดเดาน้ำใจกันได้จากการพูดคุย หรือ การปฏิบัติต่อกันในครั้งแรกๆ
แม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ ที่สวมใส่หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ประดับมาเต็มกายนั้นก็ไม่สามารถบ่งบอกถึงความ มั่งคั่งมั่นคงที่แท้จริงได้เท่าไรนัก อาจจะต้องอาศัยระยะเวลาและสถานการณ์อยู่มากพอสมควรในการจะรู้จักบุคลิกและ เข้าใจฐานะนิสัยอันแท้จริงของใครสักคนหนึ่งได้ แต่ทว่าศาสตร์ในเรื่องโหงวเฮ้งนั้นกลับใช้ลักษณะทางกายภาพของแต่ละบุคคลบอก เล่าถึงเนื้อแท้ภายในของคนนั้นๆ เองได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

คลินิกดอกเตอร์ยังเกอร์ได้จัดกิจกรรมสวยเสริมโหงวเฮ้งได้ดังใจคุณ โดยเชิญรุ่งนภา อังคะสิริกุล ผู้ เชี่ยวชาญทางด้านการดูโหวงเฮ้ง จะมาแนะนำให้คุณได้รู้จักหลักการเบื้องต้นของโหงวเฮ้ง ให้คุณได้เรียนรู้ส่วนประกอบในเบื้องต้นของการดูลักษณะบน ใบหน้า โดยจะนำคุณเข้าไปรู้จักเป็นเรื่องๆ เป็นส่วนๆ
โหงวเฮ้งดึงดูดความมั่งคั่ง
หน้า ผากเป็นทิศของความมั่งคั่ง เป็นที่นำมาสู่พลังชี่แห่งความร่ำรวย ไม่ควรมีอะไรมาบดบัง ใบหน้าที่มีสัดส่วนสมดุลและมีเส้นแกนกลางที่ชัดเจนจะเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญ ว่าคน ผู้นั้นจะมีโชคดีหรือไม่ จากนั้นก็ดูว่าส่วนใดบนใบหน้าที่คุณต้องการเสริม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคุณว่ามีความปรารถนาในด้านใดและอะไรที่จะเข้ากับใบหน้าคุณที่สุด หน้าผากคือหนึ่งในสองสามจุดบนใบหน้า ที่เป็น “ตำแหน่งความมั่งคั่ง” ดังนั้นไม่ควรมีอะไรมาบังที่ หน้าผาก หากมีสิวก็ควรใช้แป้งทา ปิดทับ ให้หน้าผากเปิดโล่งอยู่เสมอ
ลักษณะโหงวเฮ้งบนใบหน้าส่วนต่างๆ
หน้าผาก ส่วนนี้เป็นตัวแทนโชคจากสวรรค์จึงควรดูแลไม่ให้มีตำหนิใดๆ พยายามให้หน้าผากใสเข้าไว้ เพื่อจะได้ดึงดูดโชคด้านมีผู้อุปถัมป์ให้แก่ชีวิต ให้บุคคลที่เป็นประโยชน์ต่อคุณเข้ามา หากมีจุดด่างดำและสิวที่หน้าผากก็ควรปกปิดด้วยรองพื้น แต่ถ้าเป็นไฝ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรไปจี้ออก
ระหว่างคิ้ว ตำแหน่งนี้เป็น “เรือนชีวิต” ควรดูแลให้เกลี้ยงเกลาและเปล่งปลั่งเพื่อลดอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตให้เบาลง หากขนคิ้วขึ้นที่บริเวณเหนือจมูก ทำให้คิ้วทั้งสองข้างเชื่อมติดกัน ก็ควรรีบถอนคิ้วบริเวณนั้นออก ตำหนิใดๆ ที่ขึ้นบริเวณระหว่างคิ้ว ไม่ว่า จะเป็นสิว ไฝ และขน จะแสดง ถึงอุปสรรคความยากลำบากในชีวิตรวมทั้งความเครียดที่มีผลต่อจิตใจ
ตา ควร มีปะกายสดใส ตาขาวควรขาวไม่มีเส้นเลือดฝอยแตกแดง หรือเป็นต้อขุ่นมัว เพราะดวงตาเหมือนฝ่ายประชาสัมพันธ์ของใบหน้าแววตาสดใสจึงเป็นส่วนสำคัญของใบ หน้า หากใครที่มีดวงตาลอกแลกส่ายไปมาไม่อยู่นิ่งจะเป็นคนขาดความน่าเชื่อถือไม่ ซื่อสัตย์
จมูก เป็นอีกหนึ่งจุดบนใบหน้าที่บ่งชี้ความมั่งคั่ง เป็นที่เก็บโชคด้านการเงิน ฉะนั้นยิ่งจมูกมีเนื้ออวบอิ่มและกลมมากเท่าไรก็จะยิ่งดี จุดด่างดำต่างๆ บนปลายจมูกถือเป็นอุปสรรค โดยเฉพาะไฝที่ขึ้นบริเวณนี้จะหมายถึงเคราะห์ร้ายแรงจึงควรจี้ออกหรือปกปิด ไว้ เพื่อชีวิตจะมีความราบรื่นมากขึ้น
ริมฝีปาก หากริมฝีปากมี “ไข่มุกหงส์” ซึ่งลักษณะเหมือนกุหลาบตูม ยื่นออกมาเล็กน้อยตรงกลางริมฝีปาก หมายถึงการมีพรสวรรค์ในการพูดจา มีอิทธิพลทำให้คนอื่นสนใจฟังสิ่งที่คุณต้องการพูด หากคุณไม่มีไข่มุกนี้ตั้งแต่เกิดก็เสริมได้โดยการแตะลิปกลอสลงบริเวณดัง กล่าวของริมฝีปาก
ปาก ปากนั้นเป็นเหมือนแม่น้ำสาย หนึ่งบนใบหน้า ดังนั้นควรให้ริมฝีปากอิ่มเอิบตลอดเวลา จะนำโชคด้านการเงินให้ไหลมาเทมา ส่วนไฝที่ขึ้นบริเวณปากก็ไม่มีโทษอะไรเพราะจะไปเกี่ยวกับเรื่องการกิน แต่หากเป็นไฝดำหรือไฝเม็ดใหญ่ก็ควรจี้ออกทันที รูปปากต้องเต็มอิ่มพอดี บางหรือเกินไปก็ไม่ดี
คาง ต้องงอนงามเล็กน้อย


อำนาจบนใบหน้า 9 วิธีแต่งคิ้วคู่สวย
คิ้ว นั้นเปรียบเสมือนหลังคาของบ้าน ถ้าหลังคาไม่ดีบ้านก็ไม่ดี ดังนั้นเราจึงควรดูแลคิ้วไม่ให้โล่งเตียนเด็ดขาด อย่าโกนคิ้วเพราะนั่นจะหมายถึงการเปิดทางให้อุปสรรคและเรื่องเคราะห์ร้าย ต่างๆ เข้ามาสู่ตัวง่ายขึ้น เราควรใช้คิ้วให้เป็นประโยชน์มากที่สุดด้วยการแต่งคิ้วให้สวยได้รูปเพื่อดึง ดูดโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองเข้ามา ใช้เครื่องสำอางให้เต็มที่เพื่อให้คิ้วเป็นมงคลต่อตนเอง และที่สำคัญที่สุด ก็คือ ต้องแต่งให้แน่ใจว่าคิ้วของคุณจะปกป้องคุ้มครองคุณอยู่เสมอ เคล็ดลับ 9 ข้อนี้จะบอกให้คุณรู้ว่าจะต้องแต่งอย่างไรให้คิ้วกลายมาเป็นสมบัติชิ้นสำคัญบนใบหน้าของคุณ
1.แต่งคิ้วให้ยาวกว่าดวงตา คิ้วของคุณควรจะยาวกว่าดวงตาเสมอ เพราะจะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณมีความสมดุลมากขึ้น คนที่มีคิ้วยาวจะบ่งบอกถึงความคิดที่แจ่มชัด และนิสัยที่มีเสน่ห์ บอกถึงความคุยเก่ง เจรจาเก่ง อีกด้วย
2.คิ้วใหญ่นำความองอาจมาให้ หากคุณมีคิ้วกว้างที่ยาวได้รูปจะบ่งบอกถึงการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตไปได้ด้วยดี เพราะคุณมีความกล้าหาญเป็นทุน คุณจะไม่มีวันหมดกำลังใจ และจะพูดสนับสนุนผู้อื่น ได้อย่างเต็มที่ แต่หากเป็นคิ้วที่ใหญ่เกินไป คุณจะกลายเป็นคนแข็งกร้าวเกินไป แต่ก็ยังแสดงว่าคุณจะเป็นคนมีอำนาจชี้ขาดในเรื่องความสัมพันธ์ น้อยคนนักที่จะสามารถเถียงชนะคุณได้
3.เพิ่มความเข้มให้คิ้วบางเพื่อเสริมโชคลาภ หากคิ้วของคุณบางจนเกินไปให้เขียนคิ้วเพิ่มขึ้นไปอีกเล็กน้อยเพื่อให้คิ้วดู ดกหนาขึ้น ไม่อย่างนั้นโชคของคุณก็จะบางเหมือนกัน โชคจะเข้ามาเป็นช่วงๆ ไม่สม่ำเสมอการเขียนคิ้วให้หนาขึ้นจึงเป็นการเพิ่มโชคลาภ แต่ไม่ควรเขียนให้เข้มหรือหนาเกินไป เพราะคิ้วที่หนาเกินไปจะสื่อถึงคนที่มีแนวโน้มทรยศหักหลังทั้งชายและหญิง
4.แต่งคิ้วที่ไม่เท่ากันให้เรียบเสมอกัน หาก ขนคิ้วดูกระด้างและไม่เสมอกัน (รวมทั้งสั้นกว่าดวงตา) ควรเขียนคิ้วให้ยาวขึ้น ไม่ควรปล่อยให้แนวคิ้วสั้นจนเกินไป เพราะจะแสดงถึงความไม่เป็นมงคล บ่งบอกถึงความรักของคุณที่จะไม่ยั่งยืน คุณจะฉุนเฉียวง่าย มีปากเสียงกับใครต่อใครง่ายและบ่อยด้วย
5.คิ้วหนาไม่ใช่ความคิดที่ดี หาก คิ้วมีลักษณะเหมือนหัวไม้กวาด (ขนที่หัวคิ้วหนาและแข็ง แต่หางคิ้วชี้ออกไปคนละทิศละทาง) หมายถึงคนที่ต้องทนทุกข์กับแผลใจอยู่เสมอ มักจะเป็นคนโดดเดี่ยว แต่คนที่มีคิ้วแบบนี้ตำราว่าไม่ควรได้รับความเห็นใจเพราะมักเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีความอดทน ดังนั้นควรแต่งหรือกันคิ้วให้ได้รูปกว่านี้
6.คิ้วลักษณะเรียว หาก ที่หัวคิ้วดูแหลม แต่หางคิ้วแคบลงจนเป็นจุด จะเป็นคิ้วของคนหัวรั้น ไม่พึ่งพาใคร ยิ่งถ้าหากขนคิ้วสั้นและชี้ขึ้น จะยิ่งบ่งถึงความเจ้าเล่ห์และเลือดเย็น ควรแต่งคิ้วให้หนากว่านี้ จะช่วยดึงโชคให้ดีขึ้น โดยใช้ดินสอเขียนคิ้วหรือแปรงปัดคิ้ว
7.คิ้วรูปอักษรหมายเลข “หนึ่ง” ของจีน แต่งคิ้วแบบนี้เป็นลักษณะที่ดีที่สุด บ่งบอกถึงโชคลาภ จะมีความโชคดีด้านมีผู้สืบสกุล สมาชิกในครอบครัวนำความสุขมาให้มากๆ หากมีธุรกิจก็จะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยๆ และยังบอกถึงชีวิตคู่ที่ยั่งยืนอีกด้วย
8.คิ้วรูปดาบอันยอดเยี่ยม คิ้วรูปดาบ จะมีลักษณะมีขนคิ้วที่โหนกคิ้วและตัวคิ้วเองก็เป็นเส้นตรง ยาว กว้าง และเรียบ หมายถึงการเป็นคนที่มี วิจารณญานดี มีสัญชาตญานเชื่อถือได้
9.คิ้วรูปเสี้ยวจันทร์สื่อถึงคนมีอำนาจ ถ้าคุณเขียนคิ้วออกมาลักษณะนี้ คุณจะมีเพื่อนรักมากมาย และคุณยังเป็นคนที่ไม่หยิ่งทะนงถือตน ความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งมากมายจะรอคุณอยู่ข้างหน้า และคิ้วแบบนี้ยังสื่อถึงอำนาจในการทำงานที่แฝงในตัวคุณด้วย
ทั้งหมด ทั้งปวงแล้ว เราควรรู้จักตัวเองให้ดีเพื่อการประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ นอกจากนี้การสร้างบุญสร้างกุศลก็ถือเป็นการเสริมชะตาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง ให้ดีขึ้นได้เช่นกัน เนื่องจากใบหน้าของคนเราจะเปลี่ยนแปลง ทุกๆ 10 ปี หากทำความดี โหงวเฮ้ง ก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดี แต่หากไม่ สั่งสมบุญชีวิตก็มีโอกาสแย่ลงได้เช่นกัน

โหงวเฮ้งดึงดูดความรัก
การ ปัดแก้มให้มีสีสัน ไม่ซีดจาง สามารถนำพาความรักให้เข้ามาในชีวิตได้ แก้มของแต่ละคนจะแสดงถึงปีที่ดีที่สุดของเราเมื่อเรากำลังจะเริ่มต้นการผจญ ภัยของชีวิต หากแก้มของคุณเป็นสีแดงเรื่อและเปล่งปลั่งเมื่อใด เมื่อนั้นโชคดีที่สุดจะเข้ามาสู่คุณ นอกจากนั้นแก้มสีแดงระเรื่อยังทำให้หญิงสาวทุกคนดูมีเสน่ห์ขึ้นอีกด้วย รวมทั้งดูแลริมฝีปากให้ชุ่มชื่นดูเป็นคนสุขภาพดีไม่แห้งแตก
นอกจาก นั้นอย่าลืมดูแลผิวพรรณ แน่นอนว่าคนผิวขาวย่อมได้เปรียบเพราะดูสวยสะอาดตา แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวสองสีหรือออกคล้ำ ก็พยายามดูแลให้นวลเนียนสดใสไม่มีกระฝ้า ผดผื่นคันใดๆ ผิวที่สะอาดสดใสแม้ไม่ขาวก็ช่วยให้น่ามองยิ่งขึ้น

 

ที่มา: sanook.com

อิทธิพลของสี

11/4/51 |

มนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ทุกชนชั้นวรรณะให้ความเชื่อในอิทธิพลของสีซึ่งมีอำนาจ ต่อชีวิตจิตใจ สมัยดึก ดำบรรพ์ มรดกทางประเพณีวัฒนธรรมในพื้นบ้านตามภูมิลำเนาท้องถิ่น ใช้สีเป็นสื่อ นำเสนอสืบทอดเรื่อยมา จนทุกวันนี้ เช่นคนไทยนิยมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ อันดับแรกคือสีที่ถูกโฉลกกับตัวเอง และยังมีความเชื่อ ว่าใครใช้สีที่ถูกโฉลกแล้วจะโชคดี

ศาสตร์เบญจธาตุ (ฮวงจุ้ย) ให้ความสำคัญของสีอยู่ในอันดับต้น เพราะทิศทางที่ถูกต้องนั้นหาได้ยากยิ่ง ต้องนำสีเอกลักษณ์ของสีมาช่วยแก้ไขหรือเสริมให้สถานที่ หรือจุดที่ต้องการนั้นมีความเหมาะสมได้รับกระแสเกื้อกูลผสมผสานเพิ่มพลังที่ดี

ตามหลักของเบญจธาตุ(ฮวงจุ้ย)

อ่านทั้งหมดได้ที่ Homedd.com

ปัจจุบันนี้กระแสของความสนใจในศาสตร์ทางด้าน "ฮวงจุ้ย" ถือว่ามีสูงมากเมื่อเทียบกับในสมัยก่อนที่กลุ่มสนใจจะมีเพียงนักธุรกิจเชื้อสายจีนที่มีอายุค่อนข้างสูง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งในชีวิตครอบครัวและธุรกิจ แต่จากประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาในการจัดฮวงจุ้ยเชิงวิทยาศาสตร์โดยส่วนตัว ผมได้พบว่าคนรุ่นใหม่มีความสนใจในศาสตร์นี้มากขึ้น ทั้งผู้ประกอบการธุรกิจส่วนตัว, ผู้บริหารองค์เอกชนขนาดใหญ่หลายแห่ง, วิศวกร, แพทย์ หรือ สถาปนิก ฯลฯ อย่างไรก็ตามยังพบว่าหลายๆท่านนั้นยังมีความเข้าใจในศาสตร์ฮวงจุ้ยไม่ถูกต้องนัก เพราะตำราในบ้านเราส่วนใหญ่เป็นการสอนศาสตร์ฮวงจุ้ยในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น

อ่านต่อได้ที่ Homedd.com

จัดบ้านให้ถูกฮวงจุ้ยตามราศีเกิด เพื่อเงินทองไหลมาเทมา

อ่านได้ที่ Homedd.com

ชนชาติต่าง ๆ ล้วนมีตำนานความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องต้นไม้ ซึ่งแม้จะแตกต่างกันไปในรายละเอียด แต่ก็ทำให้เข้าใจได้ว่าชีวิติมนุษย์เราผูกพันกับต้นไม้มาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว และมิได้ต่างไปจากกันเลยในรายละเอียดตามความเชื่อที่สืบทอดกันมาแต่อดีต ว่าไม้บางชนิดพันธ์นั้นมีเทวดาอารักษ์ บางชนิดเป็นไม้มงคลนาม และบางชนิดก็มีสีสันสดสวยเหมาะที่จะนำมาส่งให้เกิดพลังที่ดี อันมีปรากฎอยู่ทั้งในตำราจีนและตำราฝรั่ง และทั้งของไทยเราเอง
หวังว่าท่านที่รักต้นไม้คงจะมีความสุขกับการเลือกหาไม้มงคลมาปลูกประดับเพิ่มเติม เพิ่มสีสันความสดชื่นให้
บ้าน และเพิ่มพูนสิริมงคลแก่ชีวิตสืบไป

ดูเนื้อหาทั้งหมดได้ที่ ยอดทิพย์.คอม

ปีนักษัตรนั้นก็มีความสัมพันธ์กับไม้แต่ละชนิด ซึ่งตาม ตำราทางโหราศาสตร์โบราณได้บันทึกไว้ว่าผู้ที่เกิด ในปีใด ๆ นั้นจะมีมิ่งขวัญสถิตอยู่ที่ไม้แต่ละพันธ์ซึ่งแตกต่างกันไป และถ้าได้ปลูกไม้ที่เป็นมงคลประจำปีเกิดไว้ในอาณาเขต บ้านก็จะเสริมส่งให้มีโชควาสนายิ่งขึ้น

เกิดปีชวด
มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นกล้วยและต้นมะพร้าว
เกิดปีฉลู
มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นตาล
เกิดปีขาล
มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นขนุนและต้นรัง
เกิดปีเถาะ
มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นมะพร้าวและต้นงิ้ว
เกิดปีมะโรง
มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นต้นไผ่ ต้นกัลปพฤกษ์ และต้นงิ้ว
เกิดปีมะเส็ง
มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นไผ่และต้นรัง
เกิดปีมะเมีย
มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นต้นกล้วยและต้นตะเคียน
เกิดปีมะแม
มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นไผ่ ต้นปาริชาติ และต้นทองหลาง
เกิดปีวอก
มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นไผ่ ต้นยาง และต้นฝ้าย
เกิดปีระกา
มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นไผ่ ต้นยาง และต้นฝ้าย
เกิดปีจอ
มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นบัวบก และต้นสำโรง
เกิดปีกุน
มิ่งขวัญอยู่ที่กอบัวหลวง และต้นบัวบก

วันและเวลาอันเป็นมงคลในการปลูกไม้ดอกและไม้ประดับ

วันอาทิตย์ (เวลาเย็น)
ควรปลูกไม้ชนิดที่เอาหัว
วันจันทร์ (เวลาสาย)
ควรปลูกไม้ชนิดที่เอาลำต้น
วันอังคาร (เวลาบ่ายแก่)
ควรปลูกไม้ชนิดที่เอาใบ
วันพุธ (เวลาเย็น)
ควรปลูกไม้ชนิดที่เอาดอก
วันพฤหัสบดี (เวลาสาย)
ควรปลูกไม้ชนิดที่เอารวงเอาฝัก
วันศุกร์ (เวลาเช้า)
ควรปลูกไม้ชนิดที่เอาผล
วันเสาร์ (เวลาเย็น)
ควรปลูกไม้ชนิดที่เอาราก ( ถ้าเอาลูกให้ปลูกเช้า เอาใบให้ปลูกสาย)

เส้นสายบนชายคากับลูกมังกรทั้งเก้า

พวกเขาปรากฏอยู่ทั่วไปในงานศิลปะตกแต่งที่แฝงกลิ่นอายโบราณของจีน ทั้งที่มีเพียงคำเล่าขานในหมู่ชนว่า “ลูกมังกรทั้งเก้า ไม่เป็นมังกร แต่ต่างมีดีที่ตน”

หากได้ไปชมสถาปัตยกรรมโบราณของจีน ตามวัดวาอาราม พระราชวัง ตำหนัก หอ ศาลา ฯลฯ เราจะได้พบเห็นงานศิลปะตกแต่งที่งดงามประหลาด ซุกซ่อนอยู่ตามสถานที่ต่างๆ อาทิ ขอบมุมอาคาร บานประตู สะพาน ระฆัง ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชวังต้องห้ามที่นครปักกิ่ง อันเป็นสถานที่สถิตสถาพรของโอรสแห่งสวรรค์ หากแหงนคอเงยหน้าขึ้น ก็จะพบว่าบริเวณสันหลังคาของสถาปัตยกรรมโบราณเหล่านี้ เรียงรายด้วยรูปสัตว์ที่ทำขึ้นจากกระเบื้องสีเขียวบ้าง เหลืองบ้างในลักษณะที่แตกต่างกันไป

รูปปั้นและลวดลายเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นรูปลักษณ์ของลูกมังกรทั้งเก้าจากตำนานเทพเจ้ายุคโบราณของจีน และต่างก็มีพัฒนาการไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกับลวดลายมังกร จากบันทึกสมัยราชวงศ์หมิงหลายฉบับได้กล่าวถึงลักษณะพิเศษเฉพาะของลูกมังกรแตกต่างกันไป ซึ่งในส่วนที่เห็นพ้องกันโดยมาก ได้แก่

1. ปี้ซี่ (赑屃)มีรูปเป็นเต่า แต่ปี้ซี่จะมีฟัน ซึ่งแตกต่างจากรูปเต่าโดยทั่วไป มีพละกำลังมหาศาล โดยมากเป็นฐานของแผ่นศิลาจารึก สามารถพบเห็นได้ตามวัดวาอารามต่างๆ กล่าวกันว่าหากได้สัมผัสจะนำพาโชคลาภมาให้
2. ปี้อ้าน (狴犴)หรือเซี่ยนจาง รูปเป็นพยัคฆ์ น่าเกรงขาม มักเกี่ยวข้องกับคดีความ โดยมากจึงสลักรูปสัญลักษณ์นี้ไว้บนประตูเรือนจำ เสือเป็นสัตว์ที่ทรงอำนาจ ดังนั้นปี้อ้านจึงมีส่วนในการข่มขวัญเหล่านักโทษในเรือนจำให้มีความเคารพต่อสถานที่
3. เทาเที่ย (饕餮)รูปคล้ายหมาป่า มีนิสัยตะกละตะกลาม ดังนั้น ในสมัยโบราณผู้คนจึงนำมาประดับไว้บนภาชนะที่บรรจุของเซ่นไหว้ และเนื่องจากเทาเที่ยเป็นสัตว์ที่มีนิสัยดุร้ายและตะกละ ดังนั้น จึงมีคำเปรียบเปรยถึงบุคคลที่เห็นแก่กินและละโมบโลภมาก ว่าเป็นพวกลูกสมุนของเทาเที่ย นอกจากนี้ เนื่องจากเทาเที่ยดื่มกินได้ในปริมาณมาก จึงพบว่ามีการนำเทาเที่ยมาประดับที่ด้านข้างของสะพานเพื่อป้องกันเหตุน้ำท่วม
4. ผูเหลา (蒲牢)มีรูปคล้ายมังกรตัวน้อย ชอบร้องเสียงดัง กล่าวกันว่า ผูเหลาอาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล และเกรงกลัวปลาวาฬเป็นที่สุด ทุกครั้งที่ถูกปลาวาฬเข้าทำร้าย ผูเหลาจะส่งเสียงร้องไม่หยุด ดังนั้น ผู้คนจึงนำผูเหลามาประดับไว้บนระฆัง จากนั้นสลักไม้ตีระฆังเป็นรูปของปลาวาฬ เมื่อนำไปตีระฆัง จะได้เสียงที่สดใสดังกังวาน
5. ฉิวหนิว (囚牛)มีรูปเป็นมังกรสีเหลืองตัวน้อยที่มีเขาของกิเลน ชอบดนตรี ผู้คนจึงมักสลักรูปของฉิวหนิวไว้ที่ด้ามซอ
6. เจียวถู(椒图)มีรูปคล้ายลวดลายก้นหอย มักจะปิดปากเป็นนิจสิน เนื่องจากธรรมชาติของหอยนั้น เมื่อถูกรุกรานจากศัตรูภายนอก ก็จะปิดเปลือกสนิทแน่น ผู้คนจึงมักจะวาดหรือสลักลวดลายของเจียวถูไว้ที่บานประตู เพื่อแทนความหมายถึงความปลอดภัย
7. ชือเหวิ่น(鸱吻)หรือชือเหว่ย เฮ่าว่าง เป็นต้น มีรูปคล้ายมังกรแต่ไม่มีสันหลัง ปากอ้ากว้าง ชอบการผจญภัย และยังชอบกลืนไฟ กล่าวกันว่า ชือเหวิ่นอาศัยอยู่ในทะเล มีหางคล้ายเหยี่ยวนกกระจอก สามารถพ่นน้ำดับไฟได้ เชื่อว่าป้องกันสิ่งชั่วร้ายและอัคคีภัยได้ ดังนั้น หากพบมังกรที่มีหางขดม้วนเข้าประดับอยู่บนสันหลังคา นั่นก็คือ ชือเหวิ่น
8. ซวนหนี (狻猊)แต่เดิมซวนหนีเป็นคำเรียกหนึ่งของสิงโต ดังนั้น ซวนหนีจึงมีรูปเป็นราชสีห์ ชอบเพลิงไฟ และชอบนั่ง เนื่องจากสิงโตมีรูปลักษณ์เป็นที่น่าเกรงขาม ทั้งได้รับการเผยแพร่เข้ามาในจีนพร้อมกับพุทธศาสนา โดยมีคำกล่าวเปรียบพระพุทธเจ้าเป็นดั่งราชสีห์ ดังนั้น ผู้คนจึงนำลวดลายของซวนหนีมาประดับที่แท่นอาสนะของพระพุทธรูป และบนกระถางธูป เพื่อให้ซวนหนีได้กลิ่นควันไฟที่โปรดปราน
9. หยาจื้อ (睚眦)มีรูปคล้ายหมาไน ชอบกลิ่นอายการสังหาร คำว่า หยาจื้อ เดิมมีความหมายว่าถลึงตามองด้วยความโกรธ ต่อมาแฝงนัยของการแก้แค้น ซึ่งก็ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการเข่นฆ่า จึงมักจะนำมาประดับอยู่บนด้ามมีดและฝักดาบ เป็นต้นตำนานลูกมังกรทั้งเก้า

ตำนานของลูกมังกรทั้งเก้า

เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง (ปี 1368 – 1644) โดยมีจุดเริ่มจากหลิวป๋อเวิน(刘伯温)เสนาบดีคู่บัลลังก์มังกร กล่าวกันว่า หลิวป๋อเวินเดิมเป็นเทพบนสวรรค์ที่อยู่ข้างกายอวี้ตี้หรือเง็กเซียนฮ่องเต้ เมื่อถึงปลายราชวงศ์หยวน แผ่นดินจีนลุกเป็นไฟ การศึกสงครามไม่สิ้น ราษฎรอดอยากยากแค้น เง็กเซียนฮ่องเต้จึงส่งหลิวป๋อเวินลงมาถือกำเนิดบนโลกมนุษย์ เพื่อช่วยกอบกู้ภัยพิบัติ พร้อมทั้งได้มอบกระบี่ประกาศิต ที่สามารถสั่งการต่อพญามังกรได้ แต่เนื่องจากในเวลานั้น พญามังกรเฒ่าสังขารร่างกายอ่อนล้า จึงส่งให้บุตรทั้งเก้าของตนมารับภารกิจนี้แทน

ลูกมังกรทั้งเก้าต่างมีอิทธิฤทธิ์แกร่งกล้า พวกเขาติดตามหลิวป๋อเวินออกศึกนับครั้งไม่ถ้วน หนุนเสริมจูหยวนจางสถาปนาแผ่นตินต้าหมิง ทั้งช่วยเหลือจูตี้ให้ได้มาซึ่งบัลลังก์มังกร ต่อเมื่อภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์ จึงคิดจะกลับคืนสู่สรวงสวรรค์ แต่จักรพรรดิหมิงเฉิงจู่หรือจูตี้ กลับต้องการให้พวกเขาอยู่ข้างกาย เพื่อช่วยให้ตนเองเป็นใหญ่ในแผ่นดินตลอดไป ดังนั้นจึงอ้างเหตุก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามที่ปักกิ่ง หยิบยืมดาบประกาศิตจากหลิวป๋อเวิน เพื่อสั่งการต่อลูกมังกรทั้งเก้า แต่ลูกมังกรต่างไม่ยอมสยบ

จูตี้เห็นว่าไม่อาจควบคุมลูกมังกรไว้ได้ จึงออกอุบาย โดยกล่าวกับปี้ซี่ที่เป็นพี่ใหญ่ว่า “ปี้ซี่ เจ้ามีพลังมากมายมหาศาล สามารถยกวัตถุนับหมื่นชั่งได้ ถ้าหากเจ้าสามารถแบกป้ายศิลาจารึก “เสินกงเซิ่งเต๋อเปย” ของบรรพบุรุษข้าไปด้วยได้ ข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าไป” ปี้ซี่เห็นว่าเป็นเพียงป้ายศิลาเล็กๆก้อนหนึ่ง จึงเข้าไปแบกรับไว้โดยไม่ลังเล แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจยกเคลื่อนไปได้ ที่แท้ ป้ายศิลาจารึกนี้ ได้จารึกคุณความดีของ “โอรสสวรรค์” เอาไว้ (จากคติของจีนที่กล่าวว่า คุณความดีนั้น ไม่อาจชั่งตวงวัดได้) ทั้งยังมีตราประทับลัญจกรของฮ่องเต้สองสมัย สามารถสยบเทพมารทั้งปวงได้

ลูกมังกรที่เหลือเห็นว่าพี่ใหญ่ถูกกดทับอยู่ใต้ศิลาจารึก ต่างไม่อาจหักใจจากไป จึงได้แต่รั้งอยู่บนโลกมนุษย์ต่อไป เพียงแต่ ต่างก็ให้สัตย์สาบานว่า จะไม่ปรากฏร่างจริงอีก ดังนั้น แม้ว่าจูตี้สามารถรั้งลูกมังกรทั้งเก้าเอาไว้ได้ แต่ก็เป็นเพียงรูปสลักของสัตว์ทั้งเก้าชนิดเท่านั้น หลิวป๋อจือเมื่อทราบเรื่องในภายหลังจึงผละจากจูตี้ กลับคืนสู่สวรรค์ จูตี้รู้สึกเสียใจและสำนักผิดต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ จึงจัดวางหน้าที่ให้กับลูกมังกรทั้งเก้า สืบทอดเรื่องราวสู่คนรุ่นหลังไม่ให้เดินตามรอยความผิดพลาดของตน เรียบเรียงจาก เชียนหลงเน็ต

ที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ