(หมายเหตุ ข้อเขียนต่อไปนี้เป็นเพียงความเห็นของผมเท่านั้น ไม่มีหลักวิชาการรองรับ เพียงแต่มีวัตถุประสงค์ให้นำเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไปลองคิดเล่น ๆ เพื่อความสนุกในการศึกษาทฤษฎีบุคลิกภาพเก้าแบบเท่านั้น อย่าไปใช้เพื่ออ้างอิงโดยเด็ดขาด)

มีจุดสำคัญจุดหนึ่งที่ผมพิจารณาแล้วเห็นว่าแปลกดี ในฐานะคนที่เผอิญศึกษาเรื่องบุคลิกภาพเก้าแบบ และแถมยังศึกษาโหราศาสตร์ด้วย ผมว่าต้องมีจุดอะไรสักอย่างที่เหมือนกับว่าทั้งสองสิ่งมีรากเหง้ามาจากความเชื่อเดียวกัน

โหราศาสตร์ที่นำมาเทียบเคียง ผมจะนำเอาโหราศาสตร์ไทยมาเทียบเป็นหลัก เพราะเป็นตำราเก่าแก่ และไม่แน่ว่าอาจจะเก่าแก่เทียบเท่ากับทฤษฎีบุคลิกภาพเก้าแบบเลยด้วยซ้ำ โหรไทยนั้นส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่านำมาจากอินเดีย และอินเดียก็มีวัฒนธรรมเก่าแก่ แถมทิศทางการเคลื่อนของวัฒนธรรมทางหนึ่งผมก็คาดว่าจะอยู่ในอาณาเขตที่ ทฤษฎีบุคลิกภาพเก้าแบบถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน

ดาวที่ใช้ในโหราศาสตร์ไทยมีอยู่ 10 ดวง มีสองดาวไม่ใช่ดาวจริง ๆ แต่เหมือนคิดให้มันสอดรับกับบุคลิกภาพเก้าแบบ ดาวดวงที่สิบ คือดาวมฤตยู หรือ ยูเรนัส เพิ่งค้นพบทีหลัง คนโบราณไม่สามารถเห็นดาวดวงนี้ได้ก็เลยไม่นำมาเทียบเคียง

เราใช้สัญลักษณ์โหรแทนดาวที่ใช้เป็นตัวเลขดังนี้ครับ

อาทิตย์คือดาว 1 จันทร์คือดาว 2 อังคารคือดาว 3 พุธคือดาว 4 พฤหัสคือดาว 5 ศุกร์คือดาว 6 เสาร์คือดาว 7 ราหูคือดาว 8 (ดาวนี้ไม่มีจริง แต่เป็นจุดคราส) เกตุคือดาว 9 (ไม่มีจริงอีกเหมือนกัน แต่เป็นจุดตรงข้ามคราส)

เอาดาว 1 ดาวอาทิตย์เทียบกับบุคลิกภาพแบบที่ 1 จะเห็นว่า คล้ายกัน อาทิตย์มีลักษณะของความเนี้ยบ โอ่อ่า เจ้ายศเจ้าอย่าง คนแบบที่ 1 ก็ชอบความสมบูรณ์แบบ สะอาด เกลียดการทำอะไรไม่ได้มาตรฐาน

ดาว 2 ดาวจันทร์ เทียบกับบุคลิกภาพแบบที่ 2 จะเห็นว่าดาวจันทร์รักสวยรักงาม ใจดี มีเมตตา คนแบบที่สองก็ชอบบริการคนอื่นสุด ๆเหมือนกัน

ดาว 3 ดาวอังคาร เทียบกับบุคลิกภาพแบบที่ 3 อังคารนั้นกล้าขยันอยู่แล้ว คนแบบที่ 3 ก็มีนิสัยบ้างานเสียด้วยสิ

ดาว 4 ดาวพุธ เทียบกับบุคลิกภาพแบบที่ 4 เจรจาอ่อนหวานทายพุธ เป็นคนที่รู้ใจคน เก่งในการพูด การสื่อสาร บุคลิกภาพแบบที่ 4 จับความรู้สึกคนเก่ง ศิลปะนั้นเป็นเรื่องของคนแบบที่ 4 อยู่แล้ว ต่างกันนิดเดียวที่ดาวพุธเป็นดาวเข้าสังคมซึ่งก็น่าจะมาแตกลูกเพี้ยนเอาที หลัง แต่คนแบบที่ 4 ชอบเก็บตัว แต่ทั้งสองสื่อสารเก่งทั้งคู่

ดาว 5 ดาวพฤหัส เทียบกับคนแบบที่ 5 พวกพฤหัสนี่คือพวกที่มีความรู้สูง ถือเป็นดาวครูอยู่แล้ว คนแบบที่ 5 ก็บ้าข้อมูลเป็นนักวิชาการสุด ๆเหมือนกัน

ดาว 6 ดาวศุกร์ เทียบกับคนแบบที่ 6 ดาวศุกร์นี้เป็นพวกมากเสน่ห์ แล้วคนแบบที่ 6 นี่ก็ทำตัวเป็นคนที่รักของคนอื่นง่ายเสียด้วย

ดาว 7 ดาวเสาร์เทียบกับคนแบบที่ 7 ดาวเสาร์เป็นพวกชอบลุยอะไรหนัก ๆเถื่อน ๆ ขึ้นเขาลงห้วย ลำบากแค่ไหนก็ไม่บ่น พวกคนแบบที่ 7 ก็เป็นนักผจญภัย ชอบความแปลกใหม่สร้างสีสรรให้ชีวิตไปเรื่อยอยู่แล้ว ต่างกันอยู่นิดนึงเขาว่าดาวเสาร์เป็นดาวทุกข์ แต่พวกคนแบบที่ 7 นี่พวกสุขนิยมมันยังไงกันหว่า ลองค้นตำราดูก็ถึงบางอ้อ นั้นคือการประเมินค่าของดาวในโลกตะวันตกกับตะวันออกต่างกัน โหรตะวันตกมองว่าดาวเสาร์เป็นดาวดี เพราะชาวตะวันตกรักการทำอะไรติดดินลุยไปเรื่อย แต่คนตะวันออกมองว่าเป็นเรื่องยากลำบากอย่างคนไทยร้อยทั้งร้อยไม่ค่อยเห็นสอนลูกให้เป็นชาวนาอย่างพ่อ มีแต่จะให้เป็นเจ้าคนนายคน ข้อต่างก็อยู่ตรงนี้เอง

ดาว 8 ราหู เทียบกับคนแบบที่ 8 ราหูเป็นดาวที่ลุ่มหลงมัวเมา แต่จุดหลักคือการครอบงำดาวอื่น และคนแบบที่ 8 ก็ชอบจะครอบงำให้คนอื่นมาเป็นลูกน้องตัวเองเสียด้วยสิ

ดาว 9 ดาวเกตุเทียบกับคนแบบที่ 9 ดาวเกตุเป็นดาวกลาง ๆ อยู่กับใครเขาก็ได้ ไม่มีศัตรู และแถมยังเพิ่งพลังให้กับดาวที่ไปอยู่ด้วยเป็นสองเท่าเสียอีก คนแบบที่ 9 เป็นคนแบบที่ทำงานเป็นทีมร่วมกับคนอื่นได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด ไม่มีพิษมีภัย มีแต่ช่วยหมู่คณะ ใครว่าอะไรว่าตามกัน ตรงเผงเลย

ผมมีกลอนดาวคู่มิตรคู่ศัตรูอยู่สองบท ลองนำมาเปรียบเทียบกับบุคลิกภาพทั้ง 9 แบบดูนะครับ คิดเล่น ๆ สนุกๆ เป็นการบ้าน แล้วจะยิ่งทึ่งกับความมหัศจรรย์ของบุคลิกภาพ 9 แบบ ลองดูก็ได้เริ่มจากดาวคู่มิตรก่อนนะครับ

  • อาทิตย์เป็นมิตรกับครู (1*5)
  • จันทร์โฉมตรูคู่พุธนงเยาว์(1*4)
  • ศุกร์ปากหวานอังคารรับเอา (3*6)
  • ราหูกับเสาร์เป็นมิตรแก่กัน(7*8)

มาดูกลอนดาวคู่ศัตรูบ้าง เขาว่ายังงี้ครับ

  • อาทิตย์ผิดกับอังคาร(1-3)
  • พุธอันธพาลวิวาทราหู(4-8)
  • ศุกร์กับเสาร์เป็นเสี้ยนศัตรู(6-7)
  • จันทร์กับครูเป็นอริกัน(2-5)

ก็ให้เผอิญดาวเกตุ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครเขาเสียด้วย เป็นมิตรกับเขาไปทั่วเหมือนกัน เลยไม่ได้บรรจุไว้ในกลอนสักบท

คุณลองเปลี่ยนดาวเป็นบุคลิกภาพแล้วเอาลักษณะมาเทียบเคียงทีเถอะแล้วจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมจะบอกใให้มีเคสหนึ่งในหนังสือจำได้แม่นเลย ผัวเมียคู่หนึ่งมีปัญหา ผัวมีบุคลิกภาพแบบที่ 8 และเมียมีบุคลิกภาพแบบที่ 4 ตรงกันเด็ะ

คิดเล่น ๆเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยภาคผนวกนะครับ อย่าจริงจังมากอันนี้ผมคิดเทียบเคียงเอาเองไม่มีอะไรรองรับ อย่านำไปใช้อ้างอิงในข้อมูลทางวิชาการใด ๆเด็ดขาด ถ้าจะให้เป็นข้อมูลทางวิชาการต้องหาเงินให้ผมทำวิจัยก่อนนะครับ

ทั้งนี้เพื่อให้พวกเรารู้สึกทึ่งและสนุกกับการศึกษาทฤษฎีบุคลิกภาพเก้าแบบเหมือนกับผมเท่านั้นแหละ

 

ที่มา:http://www.dekisugi.net/enneagram

นพลักษณ์เกี่ยวข้องกับการเป็นนักกลยุทธ์อย่างไร

ถ้าตอบตามทฤษฎีนพลักษณ์ พูดได้ว่าคนทุกลักษณ์มีศักยภาพในการเป็นนักกลยุทธ์เท่าเทียมกันโดยพื้นฐาน
แต่คุณก็จะโต้แย้งดิฉันกลับมาว่า เท่าที่รู้จักคนแต่ละลักษณ์มีความเป็นนักกลยุทธ์ที่แตกต่างกันเท่าที่เคย สัมผัสมา คำตอบคือ ถูกต้องแล้วค่ะ เพราะอะไร นพลักษณ์อธิบายได้ว่า เนื่องจากคนแต่ละลักษณ์สร้างโลกทัศน์ของตนเอง (กรอบวิธีคิด วิธีรู้สึก และการแสดงออกทางพฤติกรรม) และสร้างยุทธศาสตร์เฉพาะตน ที่จะเรียนรู้การดำรงชีวิตให้มีความสุขตามแบบฉบับของตัวเองขึ้นมา เช่น


คนลักษณ์ 1 มีโลกทัศน์ว่าโลกนี้จับผิดเราคนลักษณ์ 1 จึงพัฒนาทักษะ และกลยุทธ์ในการเอาตัวรอดคือ มองเห็นจุดบกพร่องในงาน ในชีวิต ในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว แล้วดำเนินการแก้ไขปรับปรุงอยู่ตลอด ในกรณีที่คุณมอบหมายงานให้คนลักษณ์ 1 รับผิดชอบเป้าหมายขององค์กรสักเรื่องหนึ่ง คนลักษณ์ 1 จะแสวงหาเครื่องมือมาจัดการจนงานสำเร็จลุล่วงจนได้สิน่า มิเช่นนั้นจะไม่เลิกทำงานแน่นอน


คนลักษณ์ 2 มีโลกทัศน์ว่า โลกนี้จะให้ ต่อเมื่อคนลักษณ์ 2 ต้องเป็นผู้ให้ก่อน ทักษะที่คนลักษณ์ 2 พัฒนาขึ้นมาคือ การทำทุกวิถีทางเพื่อชนะใจคนที่ตนเองต้องการให้เขายอมรับ คนลักษณ์อื่นๆ อาจจะวิจารณ์การกระทำของคนลักษณ์ 2 ว่าไม่ตรงไปตรงมา แต่ลักษณ์ 2 ก็ทำจนบรรลุความตั้งใจได้เสมอ ด้วยการอ้อมไปอ้อมมา หรือผลักดันผ่านมือที่สาม มือที่สี่ แล้วแต่สถานการณ์ บางคนก็เรียกพฤติกรรมทำนองนี้ว่า "นักชักใย" คือ ทำงานอยู่เบื้องหลัง ถ้าคุณมอบหมายให้คนลักษณ์ 2 ทำงานให้ถึงเป้าหมายบางอย่าง คุณจะพบว่า ทางเลือกของกลยุทธ์ที่อาศัยเครือข่ายที่เคยมีอยู่ทั้งของคุณ และของคนลักษณ์ 2 จะถูกนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในทุกสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม


คนลักษณ์ 3 มีโลกทัศน์ว่า โลกนี้จะยอมรับ หรือให้รางวัลตนเองเมื่อทำสำเร็จบรรลุเป้าหมาย ดังนั้นจึงไม่ยากที่คนลักษณ์ 3 จะแสวงหาทุกวิถีทาง ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้งานสำเร็จ ดังนั้นคนลักษณ์นี้จึงมักไม่เคยสร้างกรอบให้ตัวเองว่า ฉันจะไม่ทำนั่น ไม่ทำนี่ แต่จะเป็นการสร้างศักยภาพให้ตัวเอง ด้วยการสะกดจิตตัวเองว่า "ฉันทำได้" (ทุกอย่าง) ไม่เหมือนคนอีก 8 ลักษณ์ ที่จะมีกรอบของตัวเองที่มักจะไม่ทำบางอย่าง หรือทำเรื่องหนึ่งเรื่องใดยากมากๆ (เช่น คนลักษณ์ 1 ทำในสิ่งที่เรียกว่า "ผิดพลาด" หรือ "บกพร่อง" จะไม่ทำเด็ดขาด หรือคนลักษณ์ 4 จะไม่ทำในสิ่งที่เห็นว่า "ธรรมดา" เป็นต้น) ดังนั้นทักษะที่คนลักษณ์ 3 พัฒนามาตลอดชีวิต คือ ทักษะการปรับตัวได้อย่างยอดเยี่ยมที่จะเป็น และทำในสิ่งที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ให้บรรลุทุกวิถีทาง จนเป็นที่มาของการเรียกขานคนลักษณ์ 3 ว่า "นักแสดง" เพราะจะเป็นนักกลยุทธ์ที่ไร้ข้อจำกัดนั่นเอง


คนลักษณ์ 4 มีโลกทัศน์ว่า โลกทอดทิ้ง ไม่เข้าใจ คนลักษณ์ 4 จึงแสวงหาความพิเศษ ความแตกต่าง ความไม่ธรรมดาอยู่ตลอดเวลา ตลอดชีวิต สิ่งที่จะเป็นจุดขายได้อย่างดีเยี่ยมเวลาคนลักษณ์ 4 ทำงาน คือ งานที่แตกต่าง ไม่ธรรมดา ไม่เหมือนกับชาวบ้านเขานั่นเอง นอกจากนั้นก็ยังมีลักษณะพิเศษคือ "กินใจ" อีกด้วย
แต่อาจจะยากสักหน่อยในการมอบหมายงานเชิงกลยุทธ์ให้ลักษณ์ 4 ทำ ถ้าเขา หรือเธอไม่เห็นว่ามันเป็นงานที่ท้าทาย หรือพิเศษพอ ในทางตรงกันข้าม หากคุณต้องการคอนเซ็ปต์ของงานแบบประเภท "หลุดโลก" เลือกใช้คนลักษณ์ 4 เถอะ รับประกันคุณภาพ หรืองานประเภท "ลึกซึ้ง กินใจ" ซึ่งคุณจะต้องเปิดใจให้กว้างด้วยในการมอบหมายงานทำนองนี้ให้คนลักษณ์ 4


คนลักษณ์ 5 มีโลกทัศน์ว่า โลกเรียกร้องมากเกินไป มีทรัพยากรน้อยเกินไป จึงพัฒนาทักษะในการแสวงหาข้อมูล ความรู้ ไว้เต็มแน่น ทักษะที่พัฒนาขึ้นจนเป็นเรื่องง่ายของคนลักษณ์ 5 คือ การทำตัวออกมาเป็นคนสังเกตการณ์ มากกว่าที่จะเอาตัวเข้าไปคลุกวงใน เมื่อสังเกตแล้วก็วิเคราะห์ข้อมูลออกมาเป็นส่วนๆ อย่างเป็นกลางๆ ดังนั้น จึงเหมาะที่จะมอบหมายให้วิเคราะห์ หรือมองหากลยุทธ์ให้องค์กร คนลักษณ์ 5 สามารถตอบโจทย์ให้คุณได้มากมาย แถมวิเคราะห์ทางหนีทีไล่ให้เสร็จสรรพ แต่หากจะมอบหมายให้คนลักษณ์ 5 ลงมือทำ (Implement) คงต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป เพราะคนลักษณ์ 5 บางคนที่ยังไม่สามารถข้ามพ้นกับดักบุคลิกภาพของตนเองได้ ก็จะไม่ชอบที่จะทำงานแบบลงไม้ลงมือปฏิบัติเท่าใด ไม่ชอบยุ่งกับผู้คน รวมถึงไม่ชอบให้ผู้คนมายุ่งกับตนเองนัก ชอบที่จะนั่งคิด วิเคราะห์ หรือทำตัวเป็นเสนาธิการให้เท่านั้น


คนลักษณ์ 6 มีโลกทัศน์ว่า โลกนี้อันตราย จึงพัฒนาทักษะของการสงสัยต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวว่าจะอันตรายหรือไม่ อย่างไร และมองหาทางหนีทีไล่ ในทำนองป้องกันไว้ก่อนในทุกเรื่องที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต คนลักษณ์ 6 เหมาะเป็นอย่างยิ่งในการช่วยทำ Risk Management ในองค์กร เพราะจะมีความรอบคอบเสมอสำหรับสิ่งที่จะเป็นความเลวร้ายในอนาคต


คนลักษณ์ 7 มีโลกทัศน์ว่า โลกนี้จำกัด จึงพัฒนาตนเองให้มีความว่องไวเป็นพิเศษกับทักษะเรื่องการวางแผน และการสร้างทางเลือก เพื่อหลบหนีไปให้พ้นเสียจากสภาพที่ตนเองถูกจำกัด ถ้าหากคุณต้องการคนคิดกลยุทธ์ทีมีความหลากหลาย ยึดหยุ่น และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อาจจะต้องพึ่งพาคนลักษณ์ 7 ได้ดี แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าหากจะให้ปฏิบัติหรือลงมือทำงานคงต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป เช่นเดียวกับคนลักษณ์ 5 เพราะในระหว่างการทำงานถ้าคนลักษณ์ 7 เบื่อ หรือรู้สึกถูกจำกัด .... คุณคงนึกออกว่าเขาหรือเธอจะทำอย่างไร... แล้วงานของคุณจะเป็นอย่างไร


คนลักษณ์ 8 มีโลกทัศน์ว่า โลกนี้ไม่ยุติธรรม จึงมักที่จะแสดงออกมาในทางปกป้องคุ้มครองคนที่อ่อนแอ หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม คนลักษณ์ 8 มีพลังเหลือเฟือในการทำงาน พร้อมเป็นตัวชนให้กับองค์กรเสมอ แต่อาจจะมีความตรงไปตรงมาสูง ชนก็ชนกันตรงๆ ไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ แต่คนลักษณ์ 8 บางคนที่มีสติรู้ทันตนเองรู้จุดอ่อนตนเองตรงนี้แล้ว จะสามารถทำงานให้มีสไตล์ที่นุ่มลง มีกลยุทธ์ในการจัดการกับเรื่องราวต่างๆ และผู้คนได้อย่างอ่อนโยนขึ้น


คนลักษณ์ 9 มีโลกทัศน์ว่า โลกนี้ไม่ให้ความสำคัญ และมองข้ามตนเอง จึงพัฒนาทักษะในการเอาอกเอาใจ ช่วยเหลือ มีน้ำใจต่อคนทุกคน ยกเว้นตัวเอง และมีศักยภาพในการทำความเข้าใจมุมมองของคนอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย จนบางครั้งคนลักษณ์อื่นจะมองว่าคนลักษณ์ 9 เล่นการเมือง ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนเป็นของตัวเอง

 

ที่มา: http://newsite.enneagramthailand.com/

Albert Mehrabian ได้ค้นพบในงานวิจัยของเขาเมื่อปี  1972 ว่า อารมณ์ของคนเรานั้น แสดงออกผ่านทางคำพูดเพียงแค่ 7% เท่านั้น  อีก 38% สื่อสารออกมาทางการใช้เสียงซึ่งไม่ใช่คำพูด  ที่เหลือส่วนใหญ่คือ 55%  นั้นสื่อสารออกมาโดยไม่ใช้ทั้งคำพูดหรือเสียง ซึ่งได้แก่ ท่าทาง สีหน้า เป็นต้น ดั้งนั้นเราจึงเห็นได้ว่า การสื่อสารที่ไม่ไช้คำพูดซึ่งผู้เขียนขอเรียกว่า “ภาษาท่าทาง” นี้เป็นการแสดงความหมายทางอารมณ์ที่แท้จริงของคนเรา

เมื่อต้นปี 2544 ผู้เขียนได้เข้าอบรมหลักสูตร Enneagram Professional Training Program กับ Helen Palmerและ David Daniels ที่เมือง Menlo Park รัฐ California เป็นเวลา 2 สัปดาห์ วิธีการสอนเป็นไปแบบที่เรียกว่า Oral tradition คือ ผู้สอนจะชี้ให้เห็นประเด็นหรือเนื้อหาของลักษณ์ต่าง ๆ  จากเรื่องราวของผู้เข้าอบรมที่พูดบนเวทีสัมมนา (panel) ในช่วงการอบรมช่วงหนึ่ง HelenและDavid ได้ให้ผู้เข้าอบรมคน
อื่น ๆ สังเกตุภาษาท่าทาง ของคนที่กำลังพูดอยู่บนเวที panel ของแต่ละลักษณ์ รวมทั้งความรู้สึกถึงพลังที่แสดงออกมา  แล้วสรุปออกมาเป็นลักษณะร่วมของคนแต่ละลักษณ์ ผู้เขียนขอนำมาเผยแพร่ต่อพวก เราชาวนพลักษณ์ดังนี้

คนหนึ่ง
หงุดหงิด รำคาญ เคือง เคร่งเครียด พยักหน้าบ่อย ๆ ชอบพูดเน้น ไม่ค่อยใช้คำพูดที่เกี่ยวกับอารมณ์ ท่าทางเกร็ง ๆ แข็ง ๆ กระวนกระวาย ดูไม่ค่อยสบายใจ  โน้มตัวไปข้างหน้า เลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง ชัดเจน

คนสอง
โน้มตัวไปข้างหน้าขณะพูด รู้สึกมีพลังออกจากตัว มีพลังมากเพื่อจะช่วยเหลือคนอื่น ประสานตากับคู่สนทนา ไม่ค่อยมีช่วงเงียบมากนัก ชวนคุย พูดเร็ว  ออกท่าออกทาง ยิ้ม ท่าทางสุภาพ เตรียมพร้อม

คนสาม
เต็มเปี่ยมด้วยพลังงาน ท่าทางแบบผู้ชนะ รวดเร็ว ไม่ค่อยหยุดนิ่ง พูดชัด เร็ว ตรง ตื่นตัว ประสานตา ตามีประกาย ยิ้ม

คนสี่
เลือกแต่งตัวอย่างใช้ความคิดพิจารณา พูดเข้าใจยาก จับจุดไม่ถูก แสดงออกเหมือนตัวละครที่มีความพิเศษ แสดงออกถึงพลังในแบบผลัก ๆ ดึง ๆ

คนห้า
ควบคุมตัวเอง เกร็ง ดูสงบ ราบเรียบ พูดแล้วหยุดเป็นช่วง ๆ ทำมือทำไม้เข้าสู่ตัวเอง เอนตัวไปข้างหลัง เลิกคิ้ว นุ่มนวล ไม่รุก ล้ำ ทอดสายตาต่ำ พูดน้อย ใช้คำพูดเชิงความคิด คอยสังเกตุการณ์ ครุ่นคิด

คนหก
เก็บความรู้สึกตัวเอง ตื่นตัว ระมัดระวังเหมือนพลังงานอยู่ที่หัว ไหล่ตก (พวกหวาดกลัว) สอดส่ายสายตาตรวจสอบ เห็นร่องรอยความเครียดที่กราม อาจดูกร้าวร้าว กระวนกระวาย

คนเจ็ด
มีพลังงานเยอะ รวดเร็ว ชอบขัดจังหวะ ไม่ค่อยอดทน ไม่รู้สึกเจ็บปวด เคร่งเครียดหรือกลัวในขณะที่คนอื่นรู้สึก มีท่าที เตรียมพร้อม พูดเร็ว  ตอบคำถามที่ต้องการตอบ ยิ้ม มีเสน่ห์ 

คนแปด
เหมือนมีพลังงานเยอะพุ่งไปที่คู่สนทนา เสียงดัง ชัดเจน ห้วน ครอบครองพื้นที่ ประกาศตัวเองออกไป

คนเก้า
มองคู่สนทนาตรง ๆ ประสานกลมกลืน นิ่ง ความรู้สึกอยู่ที่ตัว ไม่ค่อยใช้คำว่า “ฉัน”  ผ่อนคลาย พูดช้า หยุดพูดบ่อย ใช้คำพูดมาก ประเด็นกระจัดกระจาย

หมายเหตุ :
ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่ผู้เข้าอบรมสังเกตุเห็นในตัวคนแต่ละลักษณ์ซึ่งส่วน ใหญ่เป็นชาวตะวันตก ซึ่งอาจมีส่วนต่างจากชาวตะวันออกอย่างพวกเรา และข้อสรุปข้างต้นก็ไม่ได้หมายความว่า คนในลักษณ์หนึ่ง ๆ จะมีลักษณะหรือใช้ภาษาท่าทางเหมือนกันหมด เพราะทุกคนย่อมมีเอกลักษณ์ของตนเองที่แตกต่างจากคนอื่น ตัวอย่างเช่น แม้เราจะพบคนเจ็ดที่พูดเร็วอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า คนเจ็ดทุกคนจะพูดเร็ว ดังเช่นคนเจ็ดที่เป็น Webmaster ของเราเป็นต้น

นอก จากนี้ ความหมายของภาษาท่าทางแต่ละอย่างก็อาจขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละชน ชาติ แม้การยิ้มจะแสดงออกถึงความดีใจของคนทุกชนชาติ  แต่ก็มีภาษาท่าทางอื่น ๆ ที่มีความหมายแตกต่างกันไปตามแต่ละวัฒนธรรม ผู้เขียนจึงเห็นว่า เป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับชุมชนชาวนพลักษณ์ของเรา ที่จะสังเกตุหรือศึกษาความหมายที่แสดงออกด้วยภาษาท่าทางของชาวสยามเรานี้ ในแง่มุมที่สะท้อนความเป็นลักษณ์ของเรา  จึงขอเสนอให้ใช้เวทีกระดานสนทนาเป็นที่แสดงความเห็นแล้วเก็บรวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับภาษาท่าทางของคนแต่ละลักษณ์  เพื่อเป็นองค์ความรู้อีกอย่างหนึ่งของพวกเราชาวนพลักษณ์แห่งสยามประเทศ (ออกลิเกยังไงไม่รู้เนอะ)
ป.ล. (ใน Session เดียวกันนี้ ยังมีข้อสังเกตุจากผู้เข้าอบรมเกี่ยวกับคำพูด วลี หรือแนวคิดที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะการใส่ใจหรือเรื่องหมกมุ่นของแต่ละลักษณ์ ถ้าเป็นที่สนใจ ผู้เขียนขอนำเสนอในโอกาสต่อไป)

 

 

ที่มา: http://newsite.enneagramthailand.com/

เอ็นเนียแกรม  คืออะไร
เอ็นเนียแกรม  เป็นศาสตร์โบราณเกี่ยวกับการวิเคราะห์ลักษณะคน  ศึกษาและรวบรวมโดยนักบวชลัทธิซูฟีของศาสนาอิสลาม  ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ  สำหรับประเทศไทยเอ็นเนียแกรมได้เข้ามาเมื่อ 8 ปีที่แล้วและแพร่หลายในกลุ่มเล็กๆ  โดยท่านสันติกโรภิกขุ  พระภิกษุชาวอเมริกัน  ซึ่งศาสตร์นี้เป็นภาษาไทยว่า  นพลักษณ์  อันหมายถึงลักษณะ 9 แบบ  และที่สำคัญนพลักษณ์ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์  โหราศาสตร์  โหงวเฮ้ง  ไม่เกี่ยวกับหลักธรรมของศาสนาใดๆ  แต่ทว่าเป็นศาสตร์ที่ช่วยอธิบายพฤติกรรมทางด้านจิตวิญญาณและจิตวิทยาของตน เองและผู้อื่นที่เรามองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจนั่นเอง

ปัจจุบันมีหลายองค์กรได้นำทักษะความรู้ในเรื่องนพลักษณ์ไปประยุกต์ใช้ใน การพัฒนาบริหาร  และกระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานมีประโยชน์หลากหลาย  เช่น  พัฒนาตนเองให้ดีขึ้น  มอบหมายคนให้ตรงกับงาน  ลดความขัดแย้ง  ลดความแตกต่าง  พัฒนาการเพื่อการสื่อสารระหว่างบุคคล  ทั้งนี้ยังช่วยส่งเสริมการทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี  ศาสตร์นพลักษณ์นั้นเสมือนหนึ่งเป็นเครื่องมือสำรวจตัวเองเพื่อให้มี ประสิทธิภาพ  ดังนั้น  คุณจะต้องเข้าใจก่อนว่าไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอกแต่เกิดจากภายในตัวบุคคล  และหากอยากจะรู้ว่าคุณเป็นคนลักษณ์ใดนั้นก็ต้องหมั่นสังเกตตนเอง  ให้เวลากับตัวเอง  อยู่กับความคุ้นเคยบ่อยๆ  รวมถึงเรียนรู้เพื่อนร่วมงาน  หัวหน้า  ลูกน้องว่าเป็นคนลักษณ์ใด  ซึ่งแต่ละลักษณ์ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียทั้งต่างและคล้ายกันอยู่บ้าง  และมีแนวทางการปรับปรุงต่างกันไป  เรียกว่าเมื่อเรียนรู้กันและกันแล้ว  คราวนี้ก็เข้าสู่การเข้าใจตนเองและยอมรับผู้อื่นในสิ่งที่เขาเป็น  ก็จะช่วยให้สื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

9 ลักษณ์  ประกอบด้วย

1.  คนสมบูรณ์แบบ (The  Perfectionist)

          เป็นคนลักษณะที่เรียกว่าต้องการปรับปรุงตนเองและมีชีวิตในแบบที่ถูกต้อง  เป็ฯคนชอบวิพากษ์วิจารณ์ตนเองและผู้อื่น  ในด้านเด่นคนนี้ลักษณ์เป็นคนทำงานหนัก  อุทิศตนให้งาน  มีวินัยในตนเองสูง  ทำอะไรเป็นแบบแผน  ซื่อสัตย์  มีอุดมคติและจริยธรรม  ต้องการรางวัลในการทำงานแลต่ไม่ยอมร้องขอ  เมื่อโกรธจะไม่ค่อยแสดงออก  ในด้านด้อยอาจมีแนวโน้มชอบตัดสินคนอื่น  ช่างวิตกกังวล  ชอบโต้เถียง  เหน็บแนม  ดื้อรั้น  และมักเอาจริงเอาจังเกินไป  รวมไปถึงนิสัยที่ชอบควบคุมคนอื่น
สื่อสารกับคนลักษณ์ 1 พยายามเติมอารมณ์ขันเล็กๆ  น้อยๆ  ไปในวงสนทนา  แสดงให้เห็นว่าไม่ได้หัวเราะสิ่งที่เขาพูด  เพิ่มน้ำหนักให้กับประเด็นที่เขาค้านหัวชนฝาหากเป็นวิธีเดียวที่ทำให้งาน เดิน  พยายามต้อนรับคำวิพากษ์วิจารณ์คนลักษณ์นี้เถอะ  หากยังอยู่ในบริบทที่เป็นบวกหรือเหมาะสม

         สร้างแรงจูงใจโดย กำหนดบทบาทการทำงานให้เขาเพราะคนลักษณ์นี้ กลัวความผิดพลาด  หรือไม่ก็ประสานความสมบูรณ์แบบเข้ากับความเป็นจริง  สร้างมาตรฐานของงานกับเขาโดยใช้วิสัยทัศน์เชิงบวก  และที่สำคัญคุณต้องซื่อสัตย์และยุติธรรมกับเขาพอ

2.  ผู้ให้  (The  Giver)

เป็นคนที่ต้องการมีคุณค่า  เป็นที่รักของคนอื่น  มีจิตวิทยาในการสื่อสารกับคนอื่นมาก  เข้ากับคนอื่นได้ดี  และมีพลังเหลือเฟือมาจากความภาคภูมิใจที่มาพร้อมกับภาพลักษณ์ในฐานะผู้ให้ ความช่วยเหลือ  ชอบทำตัวเป็นมือขวาในการทำงาน  เหมือนพวกเลขาฯ  รู้ความลับเจ้านาย  ประมาณว่ากุมอำนาจอยู่เบื้องหลัง  ชอบเป็นศูนย์กลางข้อมูลของทุกๆ อย่าง  ชอบให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำ  ไม่ว่าคนอื่นต้องการหรือไม่ก็ตาม  มีหลายบุคลิก  ปรับเปลี่ยนตนเองไปตามสถานการณ์และความต้องการของคนอื่น  ด้านไม่ดีอาจควบคุมคนอื่นด้วยการประจบ  เยินยอ  คนลักษณ์นี้จัดเป็นนักสื่อสารตัวยง
สื่อสารกับคนลักษณ์  2 ควรใช้กิริยาและน้ำเสียงที่อบอุ่น  แสดงความสนใจเป็นการส่วนตัวและชื่นชมในตัวเขาไม่ควรให้ความคาดหวังเพราะเขา อาจหวังว่าจะต้องได้รับในเรื่องการวิพากษ์ต้อง  ชี้ชัดตรงประเด็น

         สร้างแรงจูงใจโดย สัมพันธภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่เขาต้องการ  ในการทำงานมักลำดับว่าเป็นงานของใคร  ซึ่งก็จะให้ความสำคัญกับผู้มีอำนาจมากกว่าก่อน  ซึ่งจริงๆ  ต้องโฟกัสไปที่งาน  ไม่ใช่ที่คน

3.  นักแสดง  ( The  Performer )

เป็นผู้ใฝ่ความสำเร็จ  แรงจูงใจคือการเป็นที่ยอมรับนับถือ  ประสบความสำเร็จในงานทุกด้าน  ภายนอกดูเป็นคนมีความสุขและมองคนในแง่ดี  การรักษาภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่เขาใส่ใจทุ่มเททำงานหนัก  บ้างานจนทิ้งครอบครัว  ไม่ดูแลตัวเองหวังว่าคนอื่นจะทำงานหนักด้วย  เลี่ยงความล้มเหลวทุกประการ  เลือกทางที่จะได้รับการตอบรับที่ดีเท่านั้น  ถ้าเกิดความล้มเหลวจะโยนใส่คนอื่น  ชอบแข่งขัน  มุ่งเอาชนะ  ต้องการชิงตำแหน่งผู้นำ  ทนการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้

         สื่อสารกับคนลักษณ์  3 ใช้วิธีการสื่อสารแบบเซลล์แมน  เขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกโอกาส  ด้วยความที่เป็นคนห่วงภาพลักษณ์อย่างมาก  ดังนั้น  วิธีการสื่อสารคือแสดงให้เห็นว่า  “ นับถือความสามารถเขาจริงๆ  แต่ไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ ”
สร้างแรงจูงใจโดย ควรฉาพภาพเส้นทางสู่ ความสำเร็จในองค์กรอย่างชัดเจน  เพราะพวกเขาจะปีนป่ายไปสู่จุดนั้น  ระบบการตรวจสอบและให้รางวัลจะทำให้เขามีความสุข  บางทีใช้เวลาทำงานมากเกินไปอาจต้องสนับสนุนให้พักผ่อนหรือลาพักร้อนเพื่อ ความสมดุล

4.  คนโศกซึ้ง  ( The  Tragic  Romantic )

เป็นคนที่ต้องการที่จะเข้าใจความรู้สึกตัว เอง  แสวงหาความหมายของชีวิต  หลีกเลี่ยงความสามัญธรรมดา  ต้องการงานที่แตกต่าง  งานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ค์  ประสิทธิภาพของงานขึ้นอยู่กับสภาพอารมณ์  มีบุคลิกศิลปิน  ช่างจินตนาการ  ต้องการแสดงความรู้สึกออกมา  อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นคนพิเศษ  ข้อด้อยไม่สามารถแยกเรื่องรักใคร่ส่วนตัวออกจากกิจธุระ  ก้าวร้าว  หรือพยายามขับคู่แข่งขันออกไปจากพื้นที่การทำงาน  แต่ชอบคนเก่งที่อยู่นอกทีม  จะว้าวุ่นรู้สึกเหี่ยวเฉา  ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนเก่งกว่า  หรือได้รับความสำคัญกว่า

         สื่อสารกับคนลักษณ์  4 ต้องการความสนับสนุนทางจิตใจ  ความรู้สึกเป็นสิ่งสำคัญ  อย่าหนีหน้าเวลาเขาแสดงอารมณ์  แม้อารมณ์จะขึ้นๆ  ลงๆ  แต่ประสิทธิภาพการทำงานจะกลับคืนมาด้วยเมื่อสติเขากลับคืนมา

         สร้างแรงจูงใจโดย จะถูกขับเคลื่อนด้วยความสนใจอย่างพิเศษ  ตารางทำงานอาจไม่มีแบบแผนไม่เหมือนใคร  ควรบอกให้ตระหนักเรื่องเวลา  หากคุณเป็นหัวหน้าเตรียมรับมือกับงานล่าช้า  หรือการขาดงานของลูกน้องกลุ่มนี้ไว้บ้าง

5.  นักสังเกตการณ์  ( The  observer )

เป็นคนที่ต้องการรู้และเข้าใจในสิ่งต่างๆ  ด้วยตนเอง  หลีกเลี่ยงความรู้สึกของการถูกครอบงำหรือบุกรุก  ชอบสะสม  ชอบอยู่คนเดียว  ใช้ความคิดหรือในสิ่งที่ตนสนใจ  ต้องการอะไรที่คาดการณ์ได้  ตัดสินใจโดยปราศจากความรู้สึกส่วนตัว  จะถือว่าการแสดงอารมณ์เป็นการเสียการควบคุมตนเอง  หลีกเลี่ยงความขัดแย้งจนถึงที่สุด  จะมีประสิทธิภาพมากถ้าไม่ต้องยุ่งเกี่ยวหรือสังสรรค์กับใคร  ทำงานหนักได้ถ้าได้รับความเป็นอิสระและความเป็นส่วนตัว

         สื่อสารกับคนลักษณ์  5 เป็นคนที่คนอื่นอาจรู้จักเขาน้อยหรือไม่ค่อยเข้าใจ  เพราะไม่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง  ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งถอยห่าง  ดังนั้น  พึงเคารพในพื้นที่ของเขา  ปล่อยให้คิดเห็นอย่างเป็นอิสระ  ไม่ควรคะยั้นคะยอถามว่ารู้สึกอย่างไร
สร้างแรงจูงใจโดย ให้เวลาในการ เสนอแนวคิด  วิสัยทัศน์  เขาชอบอยู่ในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเปิดโอกาสให้ได้ประเมินสิ่ง ต่างๆ  แต่อาจจะยากหากให้เขาเป็นคนแรกในการแยกประเด็น

6.  นักปุจฉา  ( The  Questioner )

เป็นคนต้องการความมั่นคงปลอดภัย  เป็นคนกลัวการขู่คุกคามแล้วจะแสดงความกลัวออกมา  ระแวดระวัง  ขี้สงสัย  ลังเล  มองโลกในแง่ร้าย  บางครั้งพยายามทำตัวให้ถูกใจคนอื่น  ส่วนประเภทกลัวแล้วจะสู้จะดูกล้าหาญ  ท้าทายเพื่อปกปิดความกลัว  ส่วนใหญ่จะมีลักษณะทั้งสองปนกัน

         สื่อสารกับคนลักษณ์  6 พยายามลดช่องว่างของความเสี่ยงให้มากที่สุด  แต่คาดหวังผลลัพธ์สูง  เป็นคนที่ไม่สามารถพูดในที่สาธารณะ  ต้องการการยืนยันแน่นอนก่อนจะเคลื่อนไหว

         สร้างแรงจูงใจโดย หากทีมงานแสดงให้เขาสามารถวางใจได้  ไม่มีอะไรซ่อนเร้น  คนลักษณ์นี้จะซื่อสัตย์ภักดีอย่างมาก  ส่วนอีกวิธีหนึ่งควรป้องกันเรื่องสภาพจิตใจ  อย่าปล่อยให้เป็นคนคิดมาก  เพราะอาจเป็นคนระแวงจนเกินไป  ช่วยขจัดความลังเล  และพยายามสร้างสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้มั่นคง  ไว้ใจได้

7.  นักผจญภัย  ( The  Adventure )

เป็นคนต้องการที่จะมีความสุข  หลีกเลี่ยงความทุกข์  ความเจ็บปวด  ปิดบังความกระวนกระวายด้วยการทำตัวให้ยุ่ง  และมีแผนการมากมายที่ยังไม่ได้ลงมือทำ  มีความรู้สึกข้างในว่าตัวเองเก่งและมีคุณค่า  เปิดรับความคิดใหม่ๆ  มากกว่าความจำเจ  เป็นพวกต่อต้านอำนาจแบบลักษณ์ 8  แต่จะใช้วิธีเล็ดลอดแทนการเผชิญหน้าโดยตรง  ละมุนละม่อมในการแก้ปัญหา  มักเป็นเพื่อนร่วมงานที่สร้างความสุข  สนุกสนานให้เสมอ  ด้วยการมีอารมณ์ขัน  ความคิดสร้างสรรค์ค์และการให้อภัย  ชอบความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกัน  แต่ก็มีแนวโน้มเบี่ยงแบนชักจูงคนอื่นเพื่อตนเอง

         สื่อสารกับคนลักษณ์  7 ด้วยความเป็นคนมองโลกในแง่ดี  ทำให้เป็นคนสบายๆ  ง่ายๆ  แต่บ่อยครั้งก็หละหลวม  จึงยากที่จะควบคุมคนพวกนี้  สิ่งหนึ่งคือควรช่วยประสานแนวคิดให้เป็นไปในทางเดียวกัน  พยายามให้เขามองด้านลบไปพร้อมกับด้านบวก

         สร้างแรงจูงใจ ต้อนรับวิสัยทัศน์แง่บอกอย่างยินดี  ร่วมแชร์ความคิดกับเขา  เพราะจะสนุกสนานในการพบปะผู้คน  ไม่ควรใช้วิธีการสั่งการหรือควบคุม  เพราะเขาจะทำตัวลื่นไหลและหนีห่างจากความรับผิดชอบ

8.  เจ้านาย  ( The  Boss )

มีความต้องการพึ่งตนเอง  เข้มแข็ง  มีอิทธิพลต่อโลกเป็นพวกมีปัญหาเกี่ยวกับความโกรธและหลงลืมตัวเอง  ชอบสวมบทบาทผู้คุมกฎ  แตกต่างจากลักษณ์ 1  ตรงที่เขาพร้อมจะแสดงความโกรธออกมาได้เสมอ  ในสถานการณ์ที่ไม่มีผู้นำก็แสดงบทบาทเอง  อาจมองการประนีประนอมว่าเป็นการยินยอม  อ่อนแอ  มีความกังวลอย่างสูงว่าจะถูกครอบงำ  สนใจเรื่องความถูกต้องยุติธรรมและการปกป้องคน  ข้อด้อย  มักมองว่าตนเองถูกยึกเป็นศูนย์กลางโกรธอย่างตรงไปตรงมา  ไม่มีวาระซ่อนเร้น  แสดงความโกรธแบบไม่ยั้ง  สนับสนุนกฎเกณฑ์ที่เข้ากับตนเอง  เบี่ยงเบนกฎที่ไม่ถูกใจ

         สื่อสารกับคนลักษณ์  8 ควรสื่อสารแบบตรงไปตรงมา  เมื่อเขาโกรธหรือตำหนิติเตียนก็ยอมรับ  แต่อย่าเอามาเป็นเรื่องส่วนตัว  คนลักษณ์นี้รับมือกับข่าวร้ายได้ดี  แต่หากมองข้ามเขาจะทำให้รู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง  ตรงไปตรงมาดีกว่า

         สร้างแรงจูงใจโดย เต็มไปด้วยความปรารถนาในชีวิต  พลังการแข่งขัน  ท้าทาย  ควรให้การเคารพนับถือ  ความยุติธรรม  และการสื่อสารที่ซื่อตรงหากต้องการให้เขาเป็นพันธมิตร

9.  นักประสานไมตรี  ( The  Peacemaker )

เป็นคนหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทุกรูปแบบ  ดูผ่อนคลายสบายๆ  มีความต้องการมีสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย  ชอบการทำงานชัดเจนหรือทำงานเป็นกระบวนการทำงานได้รวดเร็ว  ประสานงานดี  วางลำดับความสำคัญงานยาก  แต่ก็ไม่ชอบถูกกะเกณฑ์โดยคนอื่น  ทำงานแข่งกับเส้นตาย  ใช้เวลาจนนาทีสุดท้าย  ข้อด้อย  มักหลงลืมความต้องการ  แต่บางทีก็แสดงความโกรธออกมาอย่างไม่รู้ตัว  เพิกเฉยปัญหาแล้วก็โทษระบบ  โทษการจัดการว่าไม่ดีซะอย่างนั้น

         สื่อสารกับคนลักษณ์  9 หากเขาไม่ตอบรับแสดงว่าเขาปฏิเสธ  หากต้องการให้ตกลงควรวางกรอบการสนทนาที่ชัดเจน  พยายามควานหาความต้องการของเขาใส่ไปในโครงการด้วย

         สร้างแรงจูงใจโดย ควรแสดงออกว่าเขามีคุณค่า  จุดแข็งคนลักษณ์  9  มองภาพกว้างจะช่วยในการมองยุทธศาสตร์ได้ดี  ทำงานกับลักษณ์นี้ต้องใช้ความประนีประนอม  ใจเย็นสักนิด  อย่ายืนกรานตลอดเวลา  อาจต้องใช้เวลาพอสมควรหากให้ต้องการให้ซึมซับความคิดต่างๆ

 

ที่มา: www.formumandme.com

 

เพิ่มเติม:

- http://www.dekisugi.net/enneagram/index.jsp (เนื้อหาและแบบทดสอบเกี่ยวกับนพลักษณ์)

"ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ" เขาว่ากันไว้แบบนี้ แต่ถ้าจะบอกว่าดวงตาสื่อนิสัยของคนได้เหมือนกัน จะเชื่อกันไม๊คะ ก่อนจะบอกว่า เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ลองไปอ่านด้านล่างกันก่อนดีกว่านะ
คนที่มีตายาว มีประกายแวววาวเจิดจรัส ว่ากันว่า ... จะเป็นคนมีบุญวาสนา
คนที่มีตาดำและขาวดูใสบริสุทธิ์ ว่ากันว่า ... เป็นคนมีสติปัญญาดี
คนที่มีตาโตตาดำเด่นชัดกว่าตาขาว อายุจะยืนหมื่น ๆ ปี
ถ้าสาวใดมีตาขาวมากกว่าตาดำ จะมีนิสัยดุร้ายถึงขั้นเจี๋ยนผู้ชายที่ทำให้เธอแค้นได้
หากตาขาว ผสมด้วยตาดำมีประกาย จะเป็นคนชอบความฟุ้งเฟ้อ ไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตัวเอง มีชีวิตคู่กระท่อน กระแท่น
สาวที่มีดวงตาโตและดำขลับ ดวงตาแบบนี้เป็นที่ใฝ่ฝัน ของหนุ่ม ๆ ทั้งประเทศ มองอะไรก็ชอบมองตรง ๆ ไม่วอกแวก เธอจะมีดวงส่งเสริมผู้ชายให้เจริญรุ่งเรือง ส่วนตัวเธอเองก็จะมีความสุขตลอดกาล
สาวที่มีตาดำและตาขาวแจ่มใส เป็นคน ซื่อสัตย์คบได้ หนุ่ม ๆ ฟังเอาไว้ว่าเธอนี่แหละจะ จงรักภักดีต่อสามีจนชีวิตจะหาไม่ เรื่องเปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อยไม่เกิดขึ้นกับเธอเด็ดขาด
สาวที่มีขอบตาดำ ขนตาดก ลูกนัยน์ตาหวานเยิ้ม หรือตาแหลมเล็ก เธอเป็นสาวไฟแรงสูง มีความคิด ไม่แคร์สังคม เธอจึงไม่ยอมอยู่ในกรอบสังคม แหวกม่านประเพณีเป็นสิ่งที่เธอชอบมาก
สาวๆ ที่ตาเล็กเบ้าตาลึก แสดงว่าเป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหวง่าย ใครอย่าไปพูดผิดหูเป็นอันขาด เพราะเธอจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ถึงขั้นเลิกคบกันไปเลยได้
ผู้ชายที่ตาซ้ายเล็ก ขอต้อนรับคุณเข้าเป็นสมาชิกชมรมกลัวเมีย
แต่ถ้าตาเล็กและตาดำขุ่นมัว แสดงว่าเป็นคนมีจิตใจรวนเร เอาแน่เอานอนไม่ได้
ถ้าดวงตามีประกายแข็งกล้า ไม่สะทกสะท้าน แสดงว่าเป็นคนทะนงถือดี
ถ้าชอบชำเลืองมองคน ด้วยหางตาในระยะสั้น เป็นคนใจคอโหดเหี้ยม
แต่ถ้าชำเลืองมองด้วยหางตาสูงขึ้นมาหน่อย เป็นคนอารมณ์ร้อน
หาก ชอบชำเลืองมองคนด้วยหางตา แถมตาเขเล็ก ๆ หรือที่เรียกว่าตาเอก เป็นคนโลภมากในทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องบนเตียงด้วย เพราะสาวหรือหนุ่มที่มีตาลักษณะนี้ จะเป็นคนมีนิสัยเจ้าชู้ ชอบทอดสายตาเชิญชวนไปเรื่อยเปื่อย
คนที่ตาโปน มีสายตาฉายประกายแวววาว นี่ก็เป็นคนเจ้าชู้เหมือนกัน มักมากในเรื่องกาเม สาว ๆ ระวังให้ดีเพราะหนุ่มประเภทนี้ชอบฟันแล้วทิ้ง !!!
ถ้าตาโปนแต่มีประกายดุดัน ตำราว่าเป็นคนอายุสั้น
แต่ถ้าตาโตแต่หน้าตาเปล่งปลั่งดูมีสง่าราศี เตรียมรับทรัพย์ได้ เงินทองจะไหลมาเทมา

 

ที่มา: sanook.com

โหงวเฮ้ง แปลว่าการพิจารณาดูลักษณะทั้ง 5 ประการ ซึ่งได้แก่ คิ้ว หู ตา จมูก ปากและส่วนประกอบจากใบหน้า รูปร่าง อิริยาบทต่างๆ เช่น การเดิน ยืน นั่ง ลุก นอน การพูด การฟังน้ำเสียงจากการพูด ทางโทรศัพท์ การรับประทานอาหาร การดูจากราศี บางครั้งการพบปะผู้คนในสังคมปัจจุบัน เราก็ไม่สามารถ คาดเดาน้ำใจกันได้จากการพูดคุย หรือ การปฏิบัติต่อกันในครั้งแรกๆ
แม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ ที่สวมใส่หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ประดับมาเต็มกายนั้นก็ไม่สามารถบ่งบอกถึงความ มั่งคั่งมั่นคงที่แท้จริงได้เท่าไรนัก อาจจะต้องอาศัยระยะเวลาและสถานการณ์อยู่มากพอสมควรในการจะรู้จักบุคลิกและ เข้าใจฐานะนิสัยอันแท้จริงของใครสักคนหนึ่งได้ แต่ทว่าศาสตร์ในเรื่องโหงวเฮ้งนั้นกลับใช้ลักษณะทางกายภาพของแต่ละบุคคลบอก เล่าถึงเนื้อแท้ภายในของคนนั้นๆ เองได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

คลินิกดอกเตอร์ยังเกอร์ได้จัดกิจกรรมสวยเสริมโหงวเฮ้งได้ดังใจคุณ โดยเชิญรุ่งนภา อังคะสิริกุล ผู้ เชี่ยวชาญทางด้านการดูโหวงเฮ้ง จะมาแนะนำให้คุณได้รู้จักหลักการเบื้องต้นของโหงวเฮ้ง ให้คุณได้เรียนรู้ส่วนประกอบในเบื้องต้นของการดูลักษณะบน ใบหน้า โดยจะนำคุณเข้าไปรู้จักเป็นเรื่องๆ เป็นส่วนๆ
โหงวเฮ้งดึงดูดความมั่งคั่ง
หน้า ผากเป็นทิศของความมั่งคั่ง เป็นที่นำมาสู่พลังชี่แห่งความร่ำรวย ไม่ควรมีอะไรมาบดบัง ใบหน้าที่มีสัดส่วนสมดุลและมีเส้นแกนกลางที่ชัดเจนจะเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญ ว่าคน ผู้นั้นจะมีโชคดีหรือไม่ จากนั้นก็ดูว่าส่วนใดบนใบหน้าที่คุณต้องการเสริม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคุณว่ามีความปรารถนาในด้านใดและอะไรที่จะเข้ากับใบหน้าคุณที่สุด หน้าผากคือหนึ่งในสองสามจุดบนใบหน้า ที่เป็น “ตำแหน่งความมั่งคั่ง” ดังนั้นไม่ควรมีอะไรมาบังที่ หน้าผาก หากมีสิวก็ควรใช้แป้งทา ปิดทับ ให้หน้าผากเปิดโล่งอยู่เสมอ
ลักษณะโหงวเฮ้งบนใบหน้าส่วนต่างๆ
หน้าผาก ส่วนนี้เป็นตัวแทนโชคจากสวรรค์จึงควรดูแลไม่ให้มีตำหนิใดๆ พยายามให้หน้าผากใสเข้าไว้ เพื่อจะได้ดึงดูดโชคด้านมีผู้อุปถัมป์ให้แก่ชีวิต ให้บุคคลที่เป็นประโยชน์ต่อคุณเข้ามา หากมีจุดด่างดำและสิวที่หน้าผากก็ควรปกปิดด้วยรองพื้น แต่ถ้าเป็นไฝ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรไปจี้ออก
ระหว่างคิ้ว ตำแหน่งนี้เป็น “เรือนชีวิต” ควรดูแลให้เกลี้ยงเกลาและเปล่งปลั่งเพื่อลดอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตให้เบาลง หากขนคิ้วขึ้นที่บริเวณเหนือจมูก ทำให้คิ้วทั้งสองข้างเชื่อมติดกัน ก็ควรรีบถอนคิ้วบริเวณนั้นออก ตำหนิใดๆ ที่ขึ้นบริเวณระหว่างคิ้ว ไม่ว่า จะเป็นสิว ไฝ และขน จะแสดง ถึงอุปสรรคความยากลำบากในชีวิตรวมทั้งความเครียดที่มีผลต่อจิตใจ
ตา ควร มีปะกายสดใส ตาขาวควรขาวไม่มีเส้นเลือดฝอยแตกแดง หรือเป็นต้อขุ่นมัว เพราะดวงตาเหมือนฝ่ายประชาสัมพันธ์ของใบหน้าแววตาสดใสจึงเป็นส่วนสำคัญของใบ หน้า หากใครที่มีดวงตาลอกแลกส่ายไปมาไม่อยู่นิ่งจะเป็นคนขาดความน่าเชื่อถือไม่ ซื่อสัตย์
จมูก เป็นอีกหนึ่งจุดบนใบหน้าที่บ่งชี้ความมั่งคั่ง เป็นที่เก็บโชคด้านการเงิน ฉะนั้นยิ่งจมูกมีเนื้ออวบอิ่มและกลมมากเท่าไรก็จะยิ่งดี จุดด่างดำต่างๆ บนปลายจมูกถือเป็นอุปสรรค โดยเฉพาะไฝที่ขึ้นบริเวณนี้จะหมายถึงเคราะห์ร้ายแรงจึงควรจี้ออกหรือปกปิด ไว้ เพื่อชีวิตจะมีความราบรื่นมากขึ้น
ริมฝีปาก หากริมฝีปากมี “ไข่มุกหงส์” ซึ่งลักษณะเหมือนกุหลาบตูม ยื่นออกมาเล็กน้อยตรงกลางริมฝีปาก หมายถึงการมีพรสวรรค์ในการพูดจา มีอิทธิพลทำให้คนอื่นสนใจฟังสิ่งที่คุณต้องการพูด หากคุณไม่มีไข่มุกนี้ตั้งแต่เกิดก็เสริมได้โดยการแตะลิปกลอสลงบริเวณดัง กล่าวของริมฝีปาก
ปาก ปากนั้นเป็นเหมือนแม่น้ำสาย หนึ่งบนใบหน้า ดังนั้นควรให้ริมฝีปากอิ่มเอิบตลอดเวลา จะนำโชคด้านการเงินให้ไหลมาเทมา ส่วนไฝที่ขึ้นบริเวณปากก็ไม่มีโทษอะไรเพราะจะไปเกี่ยวกับเรื่องการกิน แต่หากเป็นไฝดำหรือไฝเม็ดใหญ่ก็ควรจี้ออกทันที รูปปากต้องเต็มอิ่มพอดี บางหรือเกินไปก็ไม่ดี
คาง ต้องงอนงามเล็กน้อย


อำนาจบนใบหน้า 9 วิธีแต่งคิ้วคู่สวย
คิ้ว นั้นเปรียบเสมือนหลังคาของบ้าน ถ้าหลังคาไม่ดีบ้านก็ไม่ดี ดังนั้นเราจึงควรดูแลคิ้วไม่ให้โล่งเตียนเด็ดขาด อย่าโกนคิ้วเพราะนั่นจะหมายถึงการเปิดทางให้อุปสรรคและเรื่องเคราะห์ร้าย ต่างๆ เข้ามาสู่ตัวง่ายขึ้น เราควรใช้คิ้วให้เป็นประโยชน์มากที่สุดด้วยการแต่งคิ้วให้สวยได้รูปเพื่อดึง ดูดโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองเข้ามา ใช้เครื่องสำอางให้เต็มที่เพื่อให้คิ้วเป็นมงคลต่อตนเอง และที่สำคัญที่สุด ก็คือ ต้องแต่งให้แน่ใจว่าคิ้วของคุณจะปกป้องคุ้มครองคุณอยู่เสมอ เคล็ดลับ 9 ข้อนี้จะบอกให้คุณรู้ว่าจะต้องแต่งอย่างไรให้คิ้วกลายมาเป็นสมบัติชิ้นสำคัญบนใบหน้าของคุณ
1.แต่งคิ้วให้ยาวกว่าดวงตา คิ้วของคุณควรจะยาวกว่าดวงตาเสมอ เพราะจะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณมีความสมดุลมากขึ้น คนที่มีคิ้วยาวจะบ่งบอกถึงความคิดที่แจ่มชัด และนิสัยที่มีเสน่ห์ บอกถึงความคุยเก่ง เจรจาเก่ง อีกด้วย
2.คิ้วใหญ่นำความองอาจมาให้ หากคุณมีคิ้วกว้างที่ยาวได้รูปจะบ่งบอกถึงการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตไปได้ด้วยดี เพราะคุณมีความกล้าหาญเป็นทุน คุณจะไม่มีวันหมดกำลังใจ และจะพูดสนับสนุนผู้อื่น ได้อย่างเต็มที่ แต่หากเป็นคิ้วที่ใหญ่เกินไป คุณจะกลายเป็นคนแข็งกร้าวเกินไป แต่ก็ยังแสดงว่าคุณจะเป็นคนมีอำนาจชี้ขาดในเรื่องความสัมพันธ์ น้อยคนนักที่จะสามารถเถียงชนะคุณได้
3.เพิ่มความเข้มให้คิ้วบางเพื่อเสริมโชคลาภ หากคิ้วของคุณบางจนเกินไปให้เขียนคิ้วเพิ่มขึ้นไปอีกเล็กน้อยเพื่อให้คิ้วดู ดกหนาขึ้น ไม่อย่างนั้นโชคของคุณก็จะบางเหมือนกัน โชคจะเข้ามาเป็นช่วงๆ ไม่สม่ำเสมอการเขียนคิ้วให้หนาขึ้นจึงเป็นการเพิ่มโชคลาภ แต่ไม่ควรเขียนให้เข้มหรือหนาเกินไป เพราะคิ้วที่หนาเกินไปจะสื่อถึงคนที่มีแนวโน้มทรยศหักหลังทั้งชายและหญิง
4.แต่งคิ้วที่ไม่เท่ากันให้เรียบเสมอกัน หาก ขนคิ้วดูกระด้างและไม่เสมอกัน (รวมทั้งสั้นกว่าดวงตา) ควรเขียนคิ้วให้ยาวขึ้น ไม่ควรปล่อยให้แนวคิ้วสั้นจนเกินไป เพราะจะแสดงถึงความไม่เป็นมงคล บ่งบอกถึงความรักของคุณที่จะไม่ยั่งยืน คุณจะฉุนเฉียวง่าย มีปากเสียงกับใครต่อใครง่ายและบ่อยด้วย
5.คิ้วหนาไม่ใช่ความคิดที่ดี หาก คิ้วมีลักษณะเหมือนหัวไม้กวาด (ขนที่หัวคิ้วหนาและแข็ง แต่หางคิ้วชี้ออกไปคนละทิศละทาง) หมายถึงคนที่ต้องทนทุกข์กับแผลใจอยู่เสมอ มักจะเป็นคนโดดเดี่ยว แต่คนที่มีคิ้วแบบนี้ตำราว่าไม่ควรได้รับความเห็นใจเพราะมักเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีความอดทน ดังนั้นควรแต่งหรือกันคิ้วให้ได้รูปกว่านี้
6.คิ้วลักษณะเรียว หาก ที่หัวคิ้วดูแหลม แต่หางคิ้วแคบลงจนเป็นจุด จะเป็นคิ้วของคนหัวรั้น ไม่พึ่งพาใคร ยิ่งถ้าหากขนคิ้วสั้นและชี้ขึ้น จะยิ่งบ่งถึงความเจ้าเล่ห์และเลือดเย็น ควรแต่งคิ้วให้หนากว่านี้ จะช่วยดึงโชคให้ดีขึ้น โดยใช้ดินสอเขียนคิ้วหรือแปรงปัดคิ้ว
7.คิ้วรูปอักษรหมายเลข “หนึ่ง” ของจีน แต่งคิ้วแบบนี้เป็นลักษณะที่ดีที่สุด บ่งบอกถึงโชคลาภ จะมีความโชคดีด้านมีผู้สืบสกุล สมาชิกในครอบครัวนำความสุขมาให้มากๆ หากมีธุรกิจก็จะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยๆ และยังบอกถึงชีวิตคู่ที่ยั่งยืนอีกด้วย
8.คิ้วรูปดาบอันยอดเยี่ยม คิ้วรูปดาบ จะมีลักษณะมีขนคิ้วที่โหนกคิ้วและตัวคิ้วเองก็เป็นเส้นตรง ยาว กว้าง และเรียบ หมายถึงการเป็นคนที่มี วิจารณญานดี มีสัญชาตญานเชื่อถือได้
9.คิ้วรูปเสี้ยวจันทร์สื่อถึงคนมีอำนาจ ถ้าคุณเขียนคิ้วออกมาลักษณะนี้ คุณจะมีเพื่อนรักมากมาย และคุณยังเป็นคนที่ไม่หยิ่งทะนงถือตน ความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งมากมายจะรอคุณอยู่ข้างหน้า และคิ้วแบบนี้ยังสื่อถึงอำนาจในการทำงานที่แฝงในตัวคุณด้วย
ทั้งหมด ทั้งปวงแล้ว เราควรรู้จักตัวเองให้ดีเพื่อการประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ นอกจากนี้การสร้างบุญสร้างกุศลก็ถือเป็นการเสริมชะตาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง ให้ดีขึ้นได้เช่นกัน เนื่องจากใบหน้าของคนเราจะเปลี่ยนแปลง ทุกๆ 10 ปี หากทำความดี โหงวเฮ้ง ก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดี แต่หากไม่ สั่งสมบุญชีวิตก็มีโอกาสแย่ลงได้เช่นกัน

โหงวเฮ้งดึงดูดความรัก
การ ปัดแก้มให้มีสีสัน ไม่ซีดจาง สามารถนำพาความรักให้เข้ามาในชีวิตได้ แก้มของแต่ละคนจะแสดงถึงปีที่ดีที่สุดของเราเมื่อเรากำลังจะเริ่มต้นการผจญ ภัยของชีวิต หากแก้มของคุณเป็นสีแดงเรื่อและเปล่งปลั่งเมื่อใด เมื่อนั้นโชคดีที่สุดจะเข้ามาสู่คุณ นอกจากนั้นแก้มสีแดงระเรื่อยังทำให้หญิงสาวทุกคนดูมีเสน่ห์ขึ้นอีกด้วย รวมทั้งดูแลริมฝีปากให้ชุ่มชื่นดูเป็นคนสุขภาพดีไม่แห้งแตก
นอกจาก นั้นอย่าลืมดูแลผิวพรรณ แน่นอนว่าคนผิวขาวย่อมได้เปรียบเพราะดูสวยสะอาดตา แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวสองสีหรือออกคล้ำ ก็พยายามดูแลให้นวลเนียนสดใสไม่มีกระฝ้า ผดผื่นคันใดๆ ผิวที่สะอาดสดใสแม้ไม่ขาวก็ช่วยให้น่ามองยิ่งขึ้น

 

ที่มา: sanook.com