แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Good Article แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Good Article แสดงบทความทั้งหมด

พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น “สูตรแห่งชีวิตประจำวัน”
ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...
ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ
เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ตำราแห่งชีวิต” ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา
และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้,
เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไร
ให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น,
ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง
และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น
และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน,
ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร,
ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลา
ของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการ
ผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ
๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณ
อย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะ
ทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็น
ต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ
อีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร
ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง
กันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ
ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง
ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า
คนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

ที่มา : Forward Mails

บอกรัก...ภาษาดอกไม้

15/7/52 |

เริ่มต้นเข้าสู่เทศกาลอันอบอวลด้วยความรักอีกครั้ง เราขอมอบเรื่องราวความรักหวานๆ ในแบบภาษาดอกไม้ ที่ไม่เพียงแต่ให้ความรู้สึกที่แสนโรแมนติก ซ้ำยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าความนัยที่แฝงอยู่ภายใต้ความงดงามของดอกไม้แต่ ละชนิดนั้นให้ทุกๆ ท่านได้ทราบก่อนจะถึงวันสำคัญของความรักในวันพรุ่งนี้

 

มนุษย์ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกัน ระหว่างชายหญิงมานานนับศตวรรษ โดยทั่วไปคนมักคิดว่าดอกไม้ที่ใช้สื่อความหมายแทนความรักมีเพียงดอกกุหลาบสี แดงเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้อง

 

ภาษาดอกไม้กำเนิด ขึ้นครั้งแรกที่เมืองคอนสแตนติโนเบิล กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1600 ก่อนจะเข้าสู่ประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. 1716 โดย Lady Mary Worthley Montagu และเข้าสู่ฝรั่งเศสในหนังสือชื่อ Le Langage des Fleurs ที่ได้รวบรวมความหมายของดอกไม้ไว้มากกว่า 8 พันชนิด โดยความหมายของดอกไม้แต่ละชนิดนั้นสามารถสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้ ที่มอบให้ เห็นได้จากการที่ในสมัยกรีกโบราณช่วงก่อนคริสตกาล ในการแต่งงานเจ้าบ่าวจะสวมมงกุฎดอกไม้ให้แก่เจ้าสาว โดยมงกุฎนั้นเจ้าบ่าวจะเป็นผู้ที่ทำขึ้นมอบให้สำหรับเจ้าสาวเพื่อแทนความใน ใจ โดยส่วนใหญ่เจ้าบ่าวมักสวมมงกุฎดอกไอวีและแซมด้วยใบโอ๊ตแก่เจ้าสาว เพื่อแสดงให้เห็นถึงการแต่งงานและความรักอันมั่นคงมิเสื่อมคลาย หรือสวมมงกุฎดอกลิลีสีขาวที่แซมด้วยดอกฟอร์เกตมีนอต ที่แสดงถึงความรักอันบริสุทธิ์และมิมีวันลืมเลือน

 

ภาษาดอกไม้นั้น ...ยังคงทรงคุณค่าแทนใจของผู้มอบให้มาจวบจนปัจจุบัน และไม่เฉพาะเพียงความรักแบบชายหนุ่มและหญิงสาวเท่านั้น ภาษาดอกไม้ยังสามารถใช้สื่อความหมายแทนความผูกพันสำหรับผู้ใกล้ชิดได้อีก ด้วยการนำดอกไม้มาใช้ในการแสดงความรู้สึกจึงเป็นสิ่งที่นิยมใช้กัน ทั่วโลก แต่ด้วยข้อจำกัดของดอกไม้ที่สามารถแห้งเหี่ยวไปตามกาลเวลา จึงทำให้มนุษย์คิดหาวิธีที่จะเก็บเอาดอกไม้และความหมายที่ตราตรึงในความ รู้สึกไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา ด้วยการนำโลหะมีค่าต่างๆ และอัญมณีที่มีความสวยงามมาประดิษฐ์เรียงร้อยเป็นเครื่องประดับลวดลายคล้าย ดอกไม้นั้นๆ เพื่อที่จะได้เก็บเป็นของที่ระลึกแทนใจ เริ่มแรกนั้น เครื่องประดับลวดลายดอกไม้ยังคงรูปแบบของดอกไม้แต่ละชนิดไว้อย่างชัดเจน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในและอยู่ในตัวเรือน ซึ่งทำจากอัญมณีและโลหะมีค่าราคาแพง ซึ่งผู้ที่สามารถใช้เครื่องประดับเหล่านี้ได้นั้นจำเป็นจะต้องเป็นผู้มีฐานะ แต่ต่อมาการพัฒนาทางด้านการออกแบบทำให้ลวดลาย สีสันที่เกิดขึ้นมีความหลากหลายและน่าสนใจ ทำให้การใช้เครื่องประดับแทนความรู้สึกนั้นขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ความหมายอันลึกซึ้งและความล้ำค่าของอัญมณีจึงทำให้เครื่องประดับชิ้นงามนี้ เปรียบเสมือนของขวัญแทนใจที่คู่รักมอบให้แก่กันในวันที่แสนพิเศษ

 

ความหมายของดอกไม้แต่ละชนิด

กุหลาบขาว (White rose) สื่อความหมายแทนคำว่า คุณมีค่าสำหรับฉัน
กุหลาบสีแดงสด (Full red rose) สื่อความหมายแทนคำว่า สำหรับคุณคือคนที่สวยที่สุดของผม

ทิวลิปสีแดง (Red tulip) สื่อความหมายแทนคำว่า ผมรักคุณ

เดซีสีขาว (White daisy) สื่อความหมายแทนคำว่า สำหรับคุณที่ไร้เดียงสา

รองเท้านารี (Lady slipper) สื่อความหมายแทนคำว่า คุณชนะใจผมแล้ว กอดผมได้ไหม

โรสแมรี (Rosemary) สื่อความหมายแทนคำว่า การที่ผมได้รู้จักคุณทำให้ผมมีชีวิตชีวา

ไอวี (Ivy) สื่อความหมายแทนคำว่า แต่งงานกับผมนะ

คติดีดีจาก...ปู่เย็น

14/10/51 |

หากพูดถึง ชายชราคนหนึ่งชื่อ"ปู่เย็น" คนส่วนใหญ่คงรู้จักกันดี เพราะ "รายการคนค้นฅน" ได้นำเรื่องราวของ “ปู่เย็น” เฒ่าทระนง ออก เผยแพร่ ผมเป็นคนหนึ่งที่ติดตามดูรายการนี้มาตลอด และผมก็อยากเอาเรื่องราวที่ได้จาก ชายชราผู้นี้มาเก็บไว้ในเวบเพื่อเป็นข้อคิดสอนใจผู้คนในสังคม

ปู่ เย็น อายุ 106 ปี วัย 106 ปี ของชายชราคนหนึ่งน่าจะพูดได้ว่า เลยภาวะไม้ใกล้ฝั่งไปแล้วหลายขุม ปู่อยู่ตัวคนเดียว เคยมีเมียแต่ไม่มีลูก เพราะปู่เป็นหมัน ถ้าปู่มีลูกไม่แน่ว่าป่านนี้ลูกๆ ของปู่จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ สำหรับปู่ ยังไงปู่ก็ยังไม่ตายแน่ๆ นอกจากยังไม่ตาย ปู่ยังแข็งแรงใช้ได้ ไม่ว่าร่างกายหรือหัวใจ

ปู่เป็น มุสลิมเมืองเพชร แต่เมียปู่เป็นไทยพุทธแถวประจวบ ทั้งสองครองรักกันยืนยาวโดยไม่มีฝ่ายใดได้ เปลี่ยนรีตเปลี่ยนรอยศาสนา รวมทั้งในชีวิตไม่เคยมีพิธีกรรมออกหน้าออกตาอันใด ใช้หัวใจหรือหัว อะไรบ้างก็ไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าอยู่กันมายืนยาวกว่าไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ย่าขี้เกียจอยู่ดูโลก จากปู่ไปก่อน ตอนอายุ 92 ปี ปู่ถึงตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะจากโลกนี้ไปไหน แต่ตอนย่าจากไปปู่ร้องไห้ อยู่ 3 เดือน

ชายชราคน หนึ่ง ร้องไห้กับการจากไปของหญิงชราคนหนึ่งนาน 3 เดือน คงไม่ใช่เพราะความขี้แย นับแต่วันที่ย่าจากไป ปู่ก็ออกจากบ้านเช่าราคาเดือนละแปดร้อยบาท ขนทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้นในชีวิต มาอยู่บ้านหลังใหม่ ไม่มีเสา ไม่มีหลังคา ยาวราวๆ 2 วา กว้างแค่ 2 ศอก บ้านของปู่เป็นเพียง เรือลำเล็กๆ ลอยอยู่ในลำน้ำเพชร นับถึงปัจจุบัน ปู่กิน อยู่ หลับนอน อยู่ในเรือมานานนับสิบปี โดยมี การงานแห่งชีวิตเพียงอย่างเดียว คือ การดักอวนหาปลา

ทุก วันปู่จะจอดเรือนั่งๆ นอนๆ อยู่ใต้สะพานลำใย ซึ่งทอดเชื่อมระหว่างบ้านหม้อ กับตลาดวัดท่อ พอเย็นๆ ก็จะเริ่มพายเรือออกไปหาที่วางอวน ปู่จะกู้อวนคืนละ 2 ครั้ง ดึกๆ ครั้งหนึ่ง รุ่งเช้าอีกครั้ง หนึ่ง ได้ปลา ปู่ก็จะเอาใส่กะละมังหิ้วขึ้นมาขายที่ตลาดวัดท่อในตอนเช้า ก่อนเดินกลับลงไปพักผ่อน ชม เวลาเลือนผ่านชีวิตไปโดยไม่วิตกทุกข์ร้อน หรือไม่ก็ซ่อมอวนอยู่ในเรือนเรื อ

ปู่ ไม่ชอบให้ใครสงสารปู่ แต่ปู่ชอบสงสารคนอื่น ปู่มักจะขายปลาที่นับวันยิ่งหายากในราคาถูกๆ คนที่มาซื้อเห็นปู่ขายถูก ยิ่งขอซื้อให้ถูกเข้าไปอีก แต่ปู่ก็ไม่ว่าอะไร นานปีทีหนจึงจะมีคนใจดี ซื้อปลาไม่กี่ตัว ให้ เงินเกินมา ไม่เอาเงินที่ปู่ทอนกลับไป แบบนี้ปู่ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าใครให้ปู่ฟรีๆ มีปัญหาทันที

ผมเคยถาม ว่า ทำไมปู่ไม่ไปขอความเมตตาจากใครๆ เขา คนแก่ๆ ยังไงๆ ใครๆ ก็สงสาร ปู่บอกว่า ไม่เอา ไม่ชอบที่สุด ดูแต่หอยซิ ไม่มีมือมีตีน มันยังหากินได้เอง (รู้จักมั้ยหอยน่ะ…ปู่ย้ำ) ประสาอะไร กับคนมีมือมีเท้า หากินเองไม่ได้ก็อายหอย

ปู่คิดและ เชื่อแบบนี้ แต่มีคนมากมายที่ไม่ได้คิดและเชื่อแบบปู่ ปู่อาจดูโง่และน่าหมิ่นแคลนในสายตาของคนเหล่านั้น แต่ปู่ไม่มีวันหมิ่นแคลนตัวเอง ขณะปู่อยู่ในเรือ คนเหล่านั้นอาจกำลังนั่งถือขันอยู่ตามสะพานลอย หรือไม่ก็กำลังข่มขู่ทุบตีเพศแม่ที่เป็นเมียตอนที่ตัวเองกำลังเมา กำลังขูดรีด โก่งราคา จี้ปล้น ฉ้อ โกง ฮั้วสัมปทาน เล่นแร่แปรหุ้นในตลาดเงิน

ไม่ว่า ความฉลาด ความโง่ ความดี ความชั่ว ความนับถือ และการให้ค่าในการมีชีวิต แน่นอนว่า คน พวกนั้นต่างกับปู่ ขณะที่ปู่คิดว่าคนเราไม่ว่าเฒ่าชะแร แก่ชราแค่ไหน หากยังมีลมหายใจ ก็ต้องพยายาม อยู่ให้ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง โดยไม่เอารัดเอาเปรียบ และเบียดเบียนใคร พูดง่ายๆ ว่ารับผิดชอบดู แลตัวเอง หาอยู่หากินเอง ว่างั้นเหอะ

ปู่อาจไม่รู้จักคำว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในหัวสมองปู่อาจไม่ มีคำว่าชีวิตที่สง่างาม ความหยิ่งทะนง แต่ปู่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิต ซึ่งบางทีคนที่ใช้คำเหล่านี้หากินบ่อยๆ เสียอีกที่ชีวิตไม่มีสิ่งเหล่านี้

เนื่อหาจาก รายการคนค้นตน

ที่มา: http://www.love4home.com/

ออร่าคืออะไร
คำว่าออร่ามาจากภาษาลาติน แปลว่า อากาศ

                
มาจากภาษากรีก    แปลว่าลมหายใจ

หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับออร่า
- แสงฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าที่เราเห็นตามฝาผนังโบสถ์
- ภาพรัศมีของพวกนักบุญฝรั่ง


  ส่วนหลักฐานที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร พบในยุโรปประมาณเกือบ 1,000 ปีมาแล้ว โดยกล่าวถึงออร่าว่า มี 4 จำพวกคือ

1. นิมบัส Nimbus มีลักษณะเป็นหมอก
2. ฮาโล Halo เป็นรัศมี

3. ออเรโอลา Aureola เป็นแสงรอบตัว
4. กลอรี่ Glory เป็นแสงที่รวมเอาแสงที่ศีรษะและรอบตัวเข้าด้วยกัน (ภาพ)

แสงออร่าไม่ใช่เรื่องใหม่

  หลายๆ คนอาจจะมองออร่าไม่เห็น แต่ทุกคนสามารถรับข้อมูลและความรู้สึกจากแสงออร่าของผู้อื่นได้ จากประสบการณ์ดังนี้

1. รู้สึกสดชื่นหรือห่อเหี่ยว เมื่อได้ยินเสียงใครบางคน
2. รู้สึกว่าเพื่อนคุณสวยหรือหล่อเป็นพิเศษ เมื่อสวมเสื้อผ้าสีใดสีหนึ่ง

3. รู้สึกว่าคุณสดชื่นขึ้นเมื่อสวมเสื้อผ้าสีใดสีหนึ่ง
4. รู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่ เมื่อเหลียวกลับไปก็มีคนจ้องอยู่จริง

5. รู้สึกชอบหรือเกลียดขี้หน้าคนบางคน ทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก
6. รู้สึกโกรธหรือสงบเมื่อย่างเท้าเข้าไปในสถานที่บางแห่ง

7. รู้สึกว่าคนที่คุยด้วยไม่จริงใจกับคุณ และภายหลังคุณพบว่าความรู้สึกนั้นถูกต้อง


  ถ้าคำตอบเหล่านี้คือ ใช่ แสดงว่าคุณสามารถสัมผัสออร่าได้ และหากฝึกฝนคุณก็สามารถสัมผัส ได้ด้วยตา มือ จิต และอ่านความหมายได้
รวมไปถึงหากดูแลรักษาสุขภาพ แสงออร่าของตัวเอง จะช่วยให้ร่างกายคุณ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมีแต่ความสุขกายสบายใจ

สีของออร่าและความหมาย

   มี 2 ประเภท
   1. สีของความคิดและอารมณ์

       จะมีลักษณะเป็นหมอก มีความไหลปรากฏเป็นหย่อมๆ
จะเห็นได้ชัดเจนบริเวณรอบศีรษะ และเหนือบ่า มีสีสันต่างๆ เช่น
    1.1 สีชมพู หมายถึงพลังที่แจ่มใส เต็มไปด้วยความรัก
อารมณ์ขัน ถ่อมตนสามารถ ปลอบประโลม ผู้อื่น โรแมนติก ข้อเสียคือมักจะใจคอโลเล

    1.2 สีแดง เป็นสีที่แสดงถึงความทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยพลังงาน มีความกระฉับกระเฉง และ มีพลังทางเพศ ถ้าเป็นสีแดงมืดอาจหมายถึงอารมณ์รุนแรง
ถ้าเป็นสีแดงสดใสหมายถึงความ ภาคภูมิใจ และทะเยอทะยานในทางที่ถูกที่ควร ถ้าสีแดงขุ่นเป็นพวกใจคอโหดร้าย

    1.3 สีส้ม / แสด
เป็นสีของความกระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุข สุขภาพ ที่เต็มไปด้วยพลัง
ถ้ามีแสงสีนี้มากเกินไปจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง
สีนี้ยังเป็นสีที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อด้วย

    สีส้มมัวหม่น หรือ ส้มปนน้ำตาล แสดงถึงปัญญาต่ำ ถ้าสีส้มแดงหมายถึง เย่อหยิ่ง อวดฉลาด

    1.4 สีเหลือง
เป็นสีที่มองเห็นง่ายที่สุดในออร่า เป็นสีของความฉลาดความเมตตา
มองโลกในแง่ดี รักเพื่อนมนุษย์ นอกจากนั้นยังเป็นสีของภูมิคุ้มกันโรค
สีเหลืองอมส้มแสดงถึง ความฉลาด - ปราดเปรื่อง
สีเหลืองขุ่นค้นแสดงถึงความอิจฉาริษยา หรือความคลางแคลงใจ

    1.5 สีเขียว เป็นสีของจิตใจที่ละเอียดอ่อน มีความเข้าใจผู้อื่น นอกจากนั้นยังเป็นสีของ ความรัก การเปลี่ยนแปลง
การรักษาโรค ความสามารถในการใช้มือ และยังเป็นสีที่แสดงถึงความสมดุล

    ถ้าเป็นสีเขียวสดใสแสดงว่าเป็นคนปรับตัวเก่ง ใจดี ชอบอิสระ
ถ้าเป็นสีเขียวมืดจะเป็นพวกขี้โกง ขี้อิจฉา
ถ้าเป็นสีเขียวอมฟ้าเป็นพวกชอบช่วยเหลือผู้อื่นไว้วางใจได้
เข้าอกเข้าใจผู้อื่น และแสดงถึงความสามารถในการรักษาโรค
ถ้าเป็นสีเขียวขี้ม้าเป็นพวกชอบหลอกลวง ต้มตุ๋น ขี้โกง และขี้เหนียว

    1.6 สีน้ำเงิน
เป็นสีของความสงบและสัจจะ เป็นสีของการสื่อสาร พลังจิตความฉลาด
ความมีอุดมคติ ขยันขันแข็ง ความสำเร็จ สามารถยืนหยัดอยู่บนขาของตัวเอง
มีความเชื่อมั่นในตนเอง ซื่อตรง จริงใจ และชอบช่วยเหลือผู้อื่น
มักจะเป็นพวกสมถะ แต่ใจคอหงุดหงิดง่าย

    สีน้ำเงินขุ่นแสดงว่าทัศนะวิสัยถูกปิดกั้น กลายเป็นคนขี้กังวล และขี้ลืม

    1.7 สีคราม เป็นสีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิต ความฉลาดล้ำลึกความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
มีความจริงใจ ชอบค้นหาสัจจะความจริงของชีวิต
    1.8 สีม่วง เป็น
พวกจิตละเอียดอ่อน เป็นตัวของตัวเอง มีสัมผัสที่ 6 ชอบทางสมาธิ
และโน้มเอียงไปทางศาสนา ชอบเรื่องลี้ลับ คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีสีนี้
ผู้ที่มีสีนี้มักจะมีพลังจิตสูง แต่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับบริเวณท้อง
เนื่องจากจักระช่วงบนพัฒนาล้ำหน้าจักระช่วงล่าง
    1.9 สีน้ำตาล
เป็นสีที่แสดงถึงความคิดแคบๆ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
เห็นแก่ตัว ชอบคุยแต่เรื่องตัวเอง เป็นคนน่าเบื่อ
สีน้ำตาลยังเป็นสีของจักระเท้า พลังธรณี และอดีตที่ผ่านมา

    ข้อดีของสีนี้คือ เป็นสีของความขยันขันแข็ง ความมีระเบียบ
และอาจหมายถึงความมุ่งมั่นที่จะให้สู่จุดมุ่งหมาย และความสำเร็จ

    1.10 สีดำ
หมายถึง การสิ้นสุด ซึ่งในที่นี้หมายถึง การสิ้นสุดของสถานการณ์หนึ่ง
เพื่อเปิดโอกาสให้สถานการณ์ใหม่เข้ามา อาจหมายถึงการเกิดใหม่
หรือความล่าช้าก็ได้ บางครั้งอาจหมายถึง โรคร้ายแรง หรือโรคเรื้อรัง
อิทธิพลมืด บางครั้งอาจหมายถึงการปกป้องตัวเองจากพลังภายนอก
หรือคนผู้นั้นอาจจะมีความลับ ถ้าสีดำเกิดปะปนอยู่กับสีอื่นๆ เช่น สีแดง
แสดงถึงความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท สีเหลือง แสดงถึงความคิดชั่วร้าย
สีเขียวหมายถึง ความคิดหักหลัง อิจฉา

    1.11 สีขาว
เป็นสีที่มีความสมดุล และสมบูรณ์แบบมากที่สุด จะปรากฏกับพวกนักบุญ พระ
หรือ ผู้ฝึกสมาธิวิปัสสนาสม่ำเสมอ
ถ้าปรากฏเป็นเส้นแสงสีขาวผ่านเข้ามาในแสง อาจหมายถึงข่าวสาร
จากมิติอื่นเข้ามา พวกที่เข้าทรงจะมีสีขาวเข้ามาในแสงระหว่างการเข้าทรง

   ผู้ที่มีสีขาวปรากฏอยู่ในออร่า หมายถึง
กายแสงได้รับการชำระและฟอกให้บริสุทธิ์ หรืออาจหมายถึง
สภาพจิตใจที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และบริสุทธิ์

    1.12 สีเงิน หมายถึงแรงบันดาลใจ หรือข่าวสารข้อมูลจากโลกวิญญาณ หรือจากมิติอื่น

    1.13 สีทอง เป็นพลังของจักรวาล หรือพลังจากเทพที่เข้ามาช่วยถ่ายโรคออกจากร่างกาย

    1.14 สีเทา เป็นพวกขาดจินตนาการ คร่ำครึ หัวโบราณ ยึดถือความคิดตนเป็นใหญ่ เจ้าระเบียบ

    ถ้าเป็นสีเทามืด ยิ่งมืดทึบมาก ยิ่งแสดงถึงอารมณ์ที่เหี่ยวเฉา
สลดหดหู่ คนพวกนี้มักจะว้าเหว่
ถ้ามีจุดมืดสีนี้ในแสงแสดงถึงโรคอวัยวะที่มีปัญหา หรืออิทธิพลมืด

    ถ้ามีจุดสีแดงอยู่ในเงามืดของแสง แสดงถึงความคิดแง่ลบ ได้แก่ ความเกลียด เคียดแค้น หรือ แม้แต่อารมณ์ฆาตกร
สีเทาค่อนไปทางสีเงิน แสดงถึงว่าสมองซีกขวาได้รับการกระตุ้นก่อให้เกิด จินตนาการและ สัมผัสที่ 6

        สีที่ไม่ค่อยปรากฏอยู่ด้วยกันคือสีน้ำเงินกับสีแสด
ถ้าใครมีสองสีนี้อยู่ด้วยกัน จะเป็นคนที่น่าอิจฉา
เพราะสีน้ำเงินเป็นสีของความสงบ และสีแดงเป็นสีของความสุข
คุณจะมีแต่ความสงบสุขทางจิตใจ


    2. สีพื้นฐานของออร่า
    จะทราบอย่างไรว่าเรามีสีพื้นฐานของออร่าเป็นสีอะไร

    ง่ายนิดเดียว เพียงคำนวณตามสูตร นำวัน เดือน ปี ค.ศ. ที่เกิด มาบวกกัน

สมมุติว่า เกิดวันที่ 5 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1960
ก็นำเลขทั้งหมดมาบวกกันคือ 5 + 5 + 1960 = 1970

จากนั้นก็แยกตัวเลขออกมาบวกกันอีกครั้ง
จะได้เป็น 1 + 9 + 7 + 0 = 17 ก็นำมาแยกบวกอีกจนกว่าจะได้เลข 1 ตัว

จะได้เป็น 1 + 7 = 8 เมื่อได้ผลลัพธ์เป็นเลขตัวเดียวแล้ว ขอให้ดูว่า ตัวเลขที่ได้ตรงกับสีพื้นฐาน

    สีอะไร มีความหมายว่าอย่างไร แต่ถ้าเลขบวกกันแล้วได้ผลเป็น 11 และ 22 ไม่ต้องแยกบวกอีก

    เพราะเป็นพวกพิเศษกว่าพวกอื่น


    1. สีแดง ศักยภาพ : ผู้นำ

   พวกมีสีแดงเป็นสีพื้นฐาน จะมีความกระตือรือร้น เป็นผู้นำ
เต็มไปด้วยพลังกระฉับกระเฉง มีเสน่ห์
สามารถพูดจาโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้ดี เป็นคนสนุกสนาน โอบอ้อมอารี กล้าหาญ
ทะเยอทะยาน มองโลกในแง่ดี ชอบการแข่งขัน เป็นสีที่นำมาซึ่งความสำเร็จ
คุณควรหาอะไรที่ท้าทายความสามารถทำแต่อย่าให้ถึงกับว่า คุณวิ่งไม่เร็ว
แต่คุณสร้างโครงการท้าทายความสามารถ โดยฝันที่จะเป็นนักกีฬาโอลิมปิก
อย่างนี้มันเกินความสามารถมากไป ต้องพิจารณาให้พอเหมาะสม
    ข้อเสีย มักจะขี้กังวล ตื่นตระหนก และอาจหลงตัวเอง รวมทั้งอาจจะบ้างานมากไปจนเครียดควรรู้จักพักผ่อน และคลายความเครียด



    2. สีส้ม/แสด ศักยภาพ : มนุษยสัมพันธ์ดี

   คุณเป็นคนอบอุ่น น่าคบ เข้ากับคนง่าย
ชอบเป็นที่ปรึกษาปัญหาให้ใครต่อใคร ชอบช่วยเหลือและ
ทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ มีจิตใจเป็นสมถะ ชอบปิดทองหลังพระ
คุณควรคบกับคนที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน ไม่งั้นคนอื่นจะเอาเปรียบคุณ

    ข้อเสีย ขี้เกียจ ใจน้อย มักถูกคนอื่นเอาเปรียบ



    3. สีเหลือง ศักยภาพ : มีความคิดสร้างสรรค์
ฉลาด

   คุณเป็นคนคิดอะไรรวดเร็ว มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เข้าสังคมง่าย
ปรับตัวเก่ง ชอบคุยถกเถียงปัญหา ชอบเรียนรู้
และทำอะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน มีพรสวรรค์ด้านการพูด
งานที่ทำควรเกี่ยวกับการพูดเป็นสื่อ เช่น ครู เซลล์แมน นักการทูต
ที่ปรึกษา ฯลฯ หรืองานอาชีพที่ต้องใช้คำพูดเป็นหลัก เป็นคนฉลาดหลักแหลม และเรียนรู้อะไรได้รวดเร็ว

    ข้อเสีย จับจด ขี้อาย โกหกเก่ง



    4. สีเขียว ศักยภาพ : รักษาโรค (สีเขียวเป็นสีของการรักษาโรค)

    คุณเป็นคนรักสงบ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจดี มีพลังจิต ไว้วางใจได้
คุณอาจมีลักษณะภายนอกหงิมๆ หรือเรียบง่าย แต่ส่วนลึกแล้วดื้อน่าดู คุณเป็นพวกสู้งาน หนักเอาเบาสู้

    ข้อเสีย ดื้นรั้น ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น



    5. สีน้ำเงิน ศักยภาพ : เป็นได้ทุกอย่าง

   คุณเป็นพวกมองโลกในแง่ดี แม้ชีวิตจะลุ่มๆ ดอนๆ ไปบ้าง แต่ยังยิ้มสู้เสมอ
แสงออร่าของคุณจึงกว้างและสว่างไสวเสมอ ทำให้กระชุ่มกระชวย ดูอ่อนกว่าวัย
คุณมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ ปากกับใจตรงกัน รักการผจญภัย มีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการ
ชอบพบปะผู้คน และสนใจการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม มีพรสวรรค์หลายๆ ด้าน

    ข้อเสีย
ชอบทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกัน จึงกลายเป็นคนจับจด
ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างนอกจากนั้นยังเป็นพวกชีพจรลงเท้า
และขาดความอดทนอีกด้วย



    6. สีคราม ศักยภาพ : มีความรับผิดชอบสูง

   คุณชอบงานด้านสังคมสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้อื่น ชอบรับผิดชอบงาน จิตใจโอบอ้อมอารี เป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ ไม่เห็นแก่ตัว

    ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น ควรหาเวลาเป็นตัวของตัวเองบ้าง มีมาตรฐานการทำงานสูง
จึงมักหงุดหงิดกับอะไรๆ ที่ไม่ได้ตามมาตรฐานของตนเอง



    7. สีม่วง ศักยภาพ : ฉลาดล้ำลึก
และสันโดษ

    คุณมีจิตใจละเอียดอ่อน สนใจในศาสตรลึกลับจนบางครั้งดูเหมือนเป็นคนลึกลับ
คุณมีประสาทสัมผัสที่ ๖ รักสันโดษจนดูเหมือนคุณจะเข้ากับใครไม่ได้

    ข้อเสีย มักดูถูกความคิดผู้อื่น และเก็บความรู้สึกมากเกินไป



    8. สีชมพู ศักยภาพ : นักบริหาร นักธุรกิจ

    คุณเป็นคนมีความตั้งใจจริง แต่ค่อนข้างดื้นรั้น วางมาตรฐานตัวเองไว้สูง
มีความเด็ดเดี่ยว และมุ่งมั่นที่จะให้บรรลุเป้าหมาย และความสำเร็จ
อาชีพของคุณจึงต้องเกี่ยวกับการบริหารและความรับผิดชอบ ในส่วนลึกเป็นคนโรแมนติค
และถ่อมตน รักความสงบ มีเมตตา ขณะเดียวกันจะยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่ยอมถอย ถ้าคุณรู้ว่าเป็นฝ่ายถูก

    ข้อเสีย มุงานมากเกินไปจนเครียด ควรหางานอดิเรกคลายเครียด



    9. สีทองเหลือง ศักยภาพ : นักสังคมสงเคราะห์

   คุณเป็นคนอ่อนโยน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นทั้งนักปราชญ์และเป็นคนมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม คุณมี

    ความสุขมากที่สุดเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่ดี

    ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น จึงถูกเอาเปรียบบ่อยๆ ควรรู้จักปฏิเสธบ้าง



    11. สีเงิน ศักยภาพ : นักอุดมคติ

   คุณมีประสาทสัมผัสที่ ๖ มีศักยภาพสูงในหลายๆ ด้าน เต็มไปด้วยความคิดแปลกๆ
ใหม่ๆ ชอบฝันหวาน แต่คุณมักจะฝันมากกว่าลงมือทำจริงๆ เป็นคนซื่อสัตย์
มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มองโลกในแง่ดี ถ้ามุมานะสร้างความฝันให้เป็นความจริงคุณจะไปได้ไกลมากทีเดียว

    ข้อเสีย ขี้เกียจ และบางครั้งจะเครียดจนใครๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ควรหาเวลาพักผ่อน ฝึกสมาธิ หรือโยคะ



    22. สีทอง ศักยภาพ : ไม่มีขอบเขตจำกัด


   คุณสามารถทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก
หรือทำงานใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องปอกกล้วยเข้าปาก
คุณจะประสบความสำเร็จไปแทบทุกเรื่อง เป็นคนมีเสน่ห์จูงใจ
ทำงานหนักเอาเบาสู้ มีเป้าหมาย ในการทำงานที่แน่นอน
มีอุดมคติและความสามารถสูง เป็นผู้นำสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้

ที่มา: โลกทิพย์

เอ็นเนียแกรม  คืออะไร
เอ็นเนียแกรม  เป็นศาสตร์โบราณเกี่ยวกับการวิเคราะห์ลักษณะคน  ศึกษาและรวบรวมโดยนักบวชลัทธิซูฟีของศาสนาอิสลาม  ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ  สำหรับประเทศไทยเอ็นเนียแกรมได้เข้ามาเมื่อ 8 ปีที่แล้วและแพร่หลายในกลุ่มเล็กๆ  โดยท่านสันติกโรภิกขุ  พระภิกษุชาวอเมริกัน  ซึ่งศาสตร์นี้เป็นภาษาไทยว่า  นพลักษณ์  อันหมายถึงลักษณะ 9 แบบ  และที่สำคัญนพลักษณ์ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์  โหราศาสตร์  โหงวเฮ้ง  ไม่เกี่ยวกับหลักธรรมของศาสนาใดๆ  แต่ทว่าเป็นศาสตร์ที่ช่วยอธิบายพฤติกรรมทางด้านจิตวิญญาณและจิตวิทยาของตน เองและผู้อื่นที่เรามองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจนั่นเอง

ปัจจุบันมีหลายองค์กรได้นำทักษะความรู้ในเรื่องนพลักษณ์ไปประยุกต์ใช้ใน การพัฒนาบริหาร  และกระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานมีประโยชน์หลากหลาย  เช่น  พัฒนาตนเองให้ดีขึ้น  มอบหมายคนให้ตรงกับงาน  ลดความขัดแย้ง  ลดความแตกต่าง  พัฒนาการเพื่อการสื่อสารระหว่างบุคคล  ทั้งนี้ยังช่วยส่งเสริมการทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี  ศาสตร์นพลักษณ์นั้นเสมือนหนึ่งเป็นเครื่องมือสำรวจตัวเองเพื่อให้มี ประสิทธิภาพ  ดังนั้น  คุณจะต้องเข้าใจก่อนว่าไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอกแต่เกิดจากภายในตัวบุคคล  และหากอยากจะรู้ว่าคุณเป็นคนลักษณ์ใดนั้นก็ต้องหมั่นสังเกตตนเอง  ให้เวลากับตัวเอง  อยู่กับความคุ้นเคยบ่อยๆ  รวมถึงเรียนรู้เพื่อนร่วมงาน  หัวหน้า  ลูกน้องว่าเป็นคนลักษณ์ใด  ซึ่งแต่ละลักษณ์ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียทั้งต่างและคล้ายกันอยู่บ้าง  และมีแนวทางการปรับปรุงต่างกันไป  เรียกว่าเมื่อเรียนรู้กันและกันแล้ว  คราวนี้ก็เข้าสู่การเข้าใจตนเองและยอมรับผู้อื่นในสิ่งที่เขาเป็น  ก็จะช่วยให้สื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

9 ลักษณ์  ประกอบด้วย

1.  คนสมบูรณ์แบบ (The  Perfectionist)

          เป็นคนลักษณะที่เรียกว่าต้องการปรับปรุงตนเองและมีชีวิตในแบบที่ถูกต้อง  เป็ฯคนชอบวิพากษ์วิจารณ์ตนเองและผู้อื่น  ในด้านเด่นคนนี้ลักษณ์เป็นคนทำงานหนัก  อุทิศตนให้งาน  มีวินัยในตนเองสูง  ทำอะไรเป็นแบบแผน  ซื่อสัตย์  มีอุดมคติและจริยธรรม  ต้องการรางวัลในการทำงานแลต่ไม่ยอมร้องขอ  เมื่อโกรธจะไม่ค่อยแสดงออก  ในด้านด้อยอาจมีแนวโน้มชอบตัดสินคนอื่น  ช่างวิตกกังวล  ชอบโต้เถียง  เหน็บแนม  ดื้อรั้น  และมักเอาจริงเอาจังเกินไป  รวมไปถึงนิสัยที่ชอบควบคุมคนอื่น
สื่อสารกับคนลักษณ์ 1 พยายามเติมอารมณ์ขันเล็กๆ  น้อยๆ  ไปในวงสนทนา  แสดงให้เห็นว่าไม่ได้หัวเราะสิ่งที่เขาพูด  เพิ่มน้ำหนักให้กับประเด็นที่เขาค้านหัวชนฝาหากเป็นวิธีเดียวที่ทำให้งาน เดิน  พยายามต้อนรับคำวิพากษ์วิจารณ์คนลักษณ์นี้เถอะ  หากยังอยู่ในบริบทที่เป็นบวกหรือเหมาะสม

         สร้างแรงจูงใจโดย กำหนดบทบาทการทำงานให้เขาเพราะคนลักษณ์นี้ กลัวความผิดพลาด  หรือไม่ก็ประสานความสมบูรณ์แบบเข้ากับความเป็นจริง  สร้างมาตรฐานของงานกับเขาโดยใช้วิสัยทัศน์เชิงบวก  และที่สำคัญคุณต้องซื่อสัตย์และยุติธรรมกับเขาพอ

2.  ผู้ให้  (The  Giver)

เป็นคนที่ต้องการมีคุณค่า  เป็นที่รักของคนอื่น  มีจิตวิทยาในการสื่อสารกับคนอื่นมาก  เข้ากับคนอื่นได้ดี  และมีพลังเหลือเฟือมาจากความภาคภูมิใจที่มาพร้อมกับภาพลักษณ์ในฐานะผู้ให้ ความช่วยเหลือ  ชอบทำตัวเป็นมือขวาในการทำงาน  เหมือนพวกเลขาฯ  รู้ความลับเจ้านาย  ประมาณว่ากุมอำนาจอยู่เบื้องหลัง  ชอบเป็นศูนย์กลางข้อมูลของทุกๆ อย่าง  ชอบให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำ  ไม่ว่าคนอื่นต้องการหรือไม่ก็ตาม  มีหลายบุคลิก  ปรับเปลี่ยนตนเองไปตามสถานการณ์และความต้องการของคนอื่น  ด้านไม่ดีอาจควบคุมคนอื่นด้วยการประจบ  เยินยอ  คนลักษณ์นี้จัดเป็นนักสื่อสารตัวยง
สื่อสารกับคนลักษณ์  2 ควรใช้กิริยาและน้ำเสียงที่อบอุ่น  แสดงความสนใจเป็นการส่วนตัวและชื่นชมในตัวเขาไม่ควรให้ความคาดหวังเพราะเขา อาจหวังว่าจะต้องได้รับในเรื่องการวิพากษ์ต้อง  ชี้ชัดตรงประเด็น

         สร้างแรงจูงใจโดย สัมพันธภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่เขาต้องการ  ในการทำงานมักลำดับว่าเป็นงานของใคร  ซึ่งก็จะให้ความสำคัญกับผู้มีอำนาจมากกว่าก่อน  ซึ่งจริงๆ  ต้องโฟกัสไปที่งาน  ไม่ใช่ที่คน

3.  นักแสดง  ( The  Performer )

เป็นผู้ใฝ่ความสำเร็จ  แรงจูงใจคือการเป็นที่ยอมรับนับถือ  ประสบความสำเร็จในงานทุกด้าน  ภายนอกดูเป็นคนมีความสุขและมองคนในแง่ดี  การรักษาภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่เขาใส่ใจทุ่มเททำงานหนัก  บ้างานจนทิ้งครอบครัว  ไม่ดูแลตัวเองหวังว่าคนอื่นจะทำงานหนักด้วย  เลี่ยงความล้มเหลวทุกประการ  เลือกทางที่จะได้รับการตอบรับที่ดีเท่านั้น  ถ้าเกิดความล้มเหลวจะโยนใส่คนอื่น  ชอบแข่งขัน  มุ่งเอาชนะ  ต้องการชิงตำแหน่งผู้นำ  ทนการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้

         สื่อสารกับคนลักษณ์  3 ใช้วิธีการสื่อสารแบบเซลล์แมน  เขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกโอกาส  ด้วยความที่เป็นคนห่วงภาพลักษณ์อย่างมาก  ดังนั้น  วิธีการสื่อสารคือแสดงให้เห็นว่า  “ นับถือความสามารถเขาจริงๆ  แต่ไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ ”
สร้างแรงจูงใจโดย ควรฉาพภาพเส้นทางสู่ ความสำเร็จในองค์กรอย่างชัดเจน  เพราะพวกเขาจะปีนป่ายไปสู่จุดนั้น  ระบบการตรวจสอบและให้รางวัลจะทำให้เขามีความสุข  บางทีใช้เวลาทำงานมากเกินไปอาจต้องสนับสนุนให้พักผ่อนหรือลาพักร้อนเพื่อ ความสมดุล

4.  คนโศกซึ้ง  ( The  Tragic  Romantic )

เป็นคนที่ต้องการที่จะเข้าใจความรู้สึกตัว เอง  แสวงหาความหมายของชีวิต  หลีกเลี่ยงความสามัญธรรมดา  ต้องการงานที่แตกต่าง  งานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ค์  ประสิทธิภาพของงานขึ้นอยู่กับสภาพอารมณ์  มีบุคลิกศิลปิน  ช่างจินตนาการ  ต้องการแสดงความรู้สึกออกมา  อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นคนพิเศษ  ข้อด้อยไม่สามารถแยกเรื่องรักใคร่ส่วนตัวออกจากกิจธุระ  ก้าวร้าว  หรือพยายามขับคู่แข่งขันออกไปจากพื้นที่การทำงาน  แต่ชอบคนเก่งที่อยู่นอกทีม  จะว้าวุ่นรู้สึกเหี่ยวเฉา  ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนเก่งกว่า  หรือได้รับความสำคัญกว่า

         สื่อสารกับคนลักษณ์  4 ต้องการความสนับสนุนทางจิตใจ  ความรู้สึกเป็นสิ่งสำคัญ  อย่าหนีหน้าเวลาเขาแสดงอารมณ์  แม้อารมณ์จะขึ้นๆ  ลงๆ  แต่ประสิทธิภาพการทำงานจะกลับคืนมาด้วยเมื่อสติเขากลับคืนมา

         สร้างแรงจูงใจโดย จะถูกขับเคลื่อนด้วยความสนใจอย่างพิเศษ  ตารางทำงานอาจไม่มีแบบแผนไม่เหมือนใคร  ควรบอกให้ตระหนักเรื่องเวลา  หากคุณเป็นหัวหน้าเตรียมรับมือกับงานล่าช้า  หรือการขาดงานของลูกน้องกลุ่มนี้ไว้บ้าง

5.  นักสังเกตการณ์  ( The  observer )

เป็นคนที่ต้องการรู้และเข้าใจในสิ่งต่างๆ  ด้วยตนเอง  หลีกเลี่ยงความรู้สึกของการถูกครอบงำหรือบุกรุก  ชอบสะสม  ชอบอยู่คนเดียว  ใช้ความคิดหรือในสิ่งที่ตนสนใจ  ต้องการอะไรที่คาดการณ์ได้  ตัดสินใจโดยปราศจากความรู้สึกส่วนตัว  จะถือว่าการแสดงอารมณ์เป็นการเสียการควบคุมตนเอง  หลีกเลี่ยงความขัดแย้งจนถึงที่สุด  จะมีประสิทธิภาพมากถ้าไม่ต้องยุ่งเกี่ยวหรือสังสรรค์กับใคร  ทำงานหนักได้ถ้าได้รับความเป็นอิสระและความเป็นส่วนตัว

         สื่อสารกับคนลักษณ์  5 เป็นคนที่คนอื่นอาจรู้จักเขาน้อยหรือไม่ค่อยเข้าใจ  เพราะไม่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง  ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งถอยห่าง  ดังนั้น  พึงเคารพในพื้นที่ของเขา  ปล่อยให้คิดเห็นอย่างเป็นอิสระ  ไม่ควรคะยั้นคะยอถามว่ารู้สึกอย่างไร
สร้างแรงจูงใจโดย ให้เวลาในการ เสนอแนวคิด  วิสัยทัศน์  เขาชอบอยู่ในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเปิดโอกาสให้ได้ประเมินสิ่ง ต่างๆ  แต่อาจจะยากหากให้เขาเป็นคนแรกในการแยกประเด็น

6.  นักปุจฉา  ( The  Questioner )

เป็นคนต้องการความมั่นคงปลอดภัย  เป็นคนกลัวการขู่คุกคามแล้วจะแสดงความกลัวออกมา  ระแวดระวัง  ขี้สงสัย  ลังเล  มองโลกในแง่ร้าย  บางครั้งพยายามทำตัวให้ถูกใจคนอื่น  ส่วนประเภทกลัวแล้วจะสู้จะดูกล้าหาญ  ท้าทายเพื่อปกปิดความกลัว  ส่วนใหญ่จะมีลักษณะทั้งสองปนกัน

         สื่อสารกับคนลักษณ์  6 พยายามลดช่องว่างของความเสี่ยงให้มากที่สุด  แต่คาดหวังผลลัพธ์สูง  เป็นคนที่ไม่สามารถพูดในที่สาธารณะ  ต้องการการยืนยันแน่นอนก่อนจะเคลื่อนไหว

         สร้างแรงจูงใจโดย หากทีมงานแสดงให้เขาสามารถวางใจได้  ไม่มีอะไรซ่อนเร้น  คนลักษณ์นี้จะซื่อสัตย์ภักดีอย่างมาก  ส่วนอีกวิธีหนึ่งควรป้องกันเรื่องสภาพจิตใจ  อย่าปล่อยให้เป็นคนคิดมาก  เพราะอาจเป็นคนระแวงจนเกินไป  ช่วยขจัดความลังเล  และพยายามสร้างสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้มั่นคง  ไว้ใจได้

7.  นักผจญภัย  ( The  Adventure )

เป็นคนต้องการที่จะมีความสุข  หลีกเลี่ยงความทุกข์  ความเจ็บปวด  ปิดบังความกระวนกระวายด้วยการทำตัวให้ยุ่ง  และมีแผนการมากมายที่ยังไม่ได้ลงมือทำ  มีความรู้สึกข้างในว่าตัวเองเก่งและมีคุณค่า  เปิดรับความคิดใหม่ๆ  มากกว่าความจำเจ  เป็นพวกต่อต้านอำนาจแบบลักษณ์ 8  แต่จะใช้วิธีเล็ดลอดแทนการเผชิญหน้าโดยตรง  ละมุนละม่อมในการแก้ปัญหา  มักเป็นเพื่อนร่วมงานที่สร้างความสุข  สนุกสนานให้เสมอ  ด้วยการมีอารมณ์ขัน  ความคิดสร้างสรรค์ค์และการให้อภัย  ชอบความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกัน  แต่ก็มีแนวโน้มเบี่ยงแบนชักจูงคนอื่นเพื่อตนเอง

         สื่อสารกับคนลักษณ์  7 ด้วยความเป็นคนมองโลกในแง่ดี  ทำให้เป็นคนสบายๆ  ง่ายๆ  แต่บ่อยครั้งก็หละหลวม  จึงยากที่จะควบคุมคนพวกนี้  สิ่งหนึ่งคือควรช่วยประสานแนวคิดให้เป็นไปในทางเดียวกัน  พยายามให้เขามองด้านลบไปพร้อมกับด้านบวก

         สร้างแรงจูงใจ ต้อนรับวิสัยทัศน์แง่บอกอย่างยินดี  ร่วมแชร์ความคิดกับเขา  เพราะจะสนุกสนานในการพบปะผู้คน  ไม่ควรใช้วิธีการสั่งการหรือควบคุม  เพราะเขาจะทำตัวลื่นไหลและหนีห่างจากความรับผิดชอบ

8.  เจ้านาย  ( The  Boss )

มีความต้องการพึ่งตนเอง  เข้มแข็ง  มีอิทธิพลต่อโลกเป็นพวกมีปัญหาเกี่ยวกับความโกรธและหลงลืมตัวเอง  ชอบสวมบทบาทผู้คุมกฎ  แตกต่างจากลักษณ์ 1  ตรงที่เขาพร้อมจะแสดงความโกรธออกมาได้เสมอ  ในสถานการณ์ที่ไม่มีผู้นำก็แสดงบทบาทเอง  อาจมองการประนีประนอมว่าเป็นการยินยอม  อ่อนแอ  มีความกังวลอย่างสูงว่าจะถูกครอบงำ  สนใจเรื่องความถูกต้องยุติธรรมและการปกป้องคน  ข้อด้อย  มักมองว่าตนเองถูกยึกเป็นศูนย์กลางโกรธอย่างตรงไปตรงมา  ไม่มีวาระซ่อนเร้น  แสดงความโกรธแบบไม่ยั้ง  สนับสนุนกฎเกณฑ์ที่เข้ากับตนเอง  เบี่ยงเบนกฎที่ไม่ถูกใจ

         สื่อสารกับคนลักษณ์  8 ควรสื่อสารแบบตรงไปตรงมา  เมื่อเขาโกรธหรือตำหนิติเตียนก็ยอมรับ  แต่อย่าเอามาเป็นเรื่องส่วนตัว  คนลักษณ์นี้รับมือกับข่าวร้ายได้ดี  แต่หากมองข้ามเขาจะทำให้รู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง  ตรงไปตรงมาดีกว่า

         สร้างแรงจูงใจโดย เต็มไปด้วยความปรารถนาในชีวิต  พลังการแข่งขัน  ท้าทาย  ควรให้การเคารพนับถือ  ความยุติธรรม  และการสื่อสารที่ซื่อตรงหากต้องการให้เขาเป็นพันธมิตร

9.  นักประสานไมตรี  ( The  Peacemaker )

เป็นคนหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทุกรูปแบบ  ดูผ่อนคลายสบายๆ  มีความต้องการมีสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย  ชอบการทำงานชัดเจนหรือทำงานเป็นกระบวนการทำงานได้รวดเร็ว  ประสานงานดี  วางลำดับความสำคัญงานยาก  แต่ก็ไม่ชอบถูกกะเกณฑ์โดยคนอื่น  ทำงานแข่งกับเส้นตาย  ใช้เวลาจนนาทีสุดท้าย  ข้อด้อย  มักหลงลืมความต้องการ  แต่บางทีก็แสดงความโกรธออกมาอย่างไม่รู้ตัว  เพิกเฉยปัญหาแล้วก็โทษระบบ  โทษการจัดการว่าไม่ดีซะอย่างนั้น

         สื่อสารกับคนลักษณ์  9 หากเขาไม่ตอบรับแสดงว่าเขาปฏิเสธ  หากต้องการให้ตกลงควรวางกรอบการสนทนาที่ชัดเจน  พยายามควานหาความต้องการของเขาใส่ไปในโครงการด้วย

         สร้างแรงจูงใจโดย ควรแสดงออกว่าเขามีคุณค่า  จุดแข็งคนลักษณ์  9  มองภาพกว้างจะช่วยในการมองยุทธศาสตร์ได้ดี  ทำงานกับลักษณ์นี้ต้องใช้ความประนีประนอม  ใจเย็นสักนิด  อย่ายืนกรานตลอดเวลา  อาจต้องใช้เวลาพอสมควรหากให้ต้องการให้ซึมซับความคิดต่างๆ

 

ที่มา: www.formumandme.com

 

เพิ่มเติม:

- http://www.dekisugi.net/enneagram/index.jsp (เนื้อหาและแบบทดสอบเกี่ยวกับนพลักษณ์)

 

คณุอาน่ได้มยั้

ถ้าคณุอาน่บทคาวมนี้ได้
คณุมีความคดิที่แขง็แรงพอ
สวคมรเลยนะ คณุอาน่ได้หรอืเลป่าล่ะ
มีแค่ 55 คนจาก 100
เท่านนั้แล่หะที่อาน่ได้

ฉนัไม่อายกจะเชอื่เลยว่า ฉนัเข้าใจสงิ่ที่
ฉนักำลงัอาน่อู่ยนี้
มนัเปน็ปฎกราากรณ์ของคาวมคดิของม์ษุยน
ผลการศกึาษวจิยัจาก มวหายิทัาลย แบมคิร์จด
ก่าลวว่า มนัไม่สคำญเลย

ว่าตวัอรัษกเยีรงถตอ้กูงหรอืไม่ในคำคำหนงึ่มนัสคำญแค่ว่า
ตวัอษักรแรกและตวัอษกัรตวัสดุทาย้ของคำนนั้อู่ยในตนำ
แห่งที่ถกูตอ้งที่เลืหอนนั้มนัจะมวั่ซวั่อ่ายงไร
คณุก็อาน่มนัได้อู่ยดี ไม่มีปหญัา
ที่เปน็อาย่งนี้เราพะคาวมคดิของมษุน์ยนนั้ไม่ได้
อาน่ตวัอษกัรทกุตวัซกัหอน่ยแต่อาน่เปน็คำเตม็ ๆ คำ
สดุยอดเลยใช่มยั้ล่ะ ใช่เลย
แต่ยงัไงฉนัก็คดิว่าการสกะดมนัสคำญันะ
ถ้าคณุอาน่บควาบมนี้ได้ ชว่ยสง่ตอ่หอน่ยนะ

 

 

step 1 Find an old cookie cutter

Decide which cookie cutters you don't mind getting rid of.

step 2 heat it up

Heat the old cookie cutter over a burner. Tongs recommended.

step 3 smooth it out

Carefully smooth out original shape using needlenose pliars.

step 4 shape it

As the metal cools, form the new shape using the pliars.

step 5 a little more

Once metal cools, it is easier to finish the shaping with your hands.

 

 

step 6 try various sizes and shapes, decorate and serve

Different sized cookie cutters offset the simplicity of the shape.

 

 

Custom Cookie Cutter - Instructables - DIY, How To, craft, food

I don't have many detailed pictures for mixing up the dough, since it's fairly straight forward. Here's the recipe.
2.5 cups flour,
3/4 cups sugar, blitzed in a food processor until fine
1/4 tsp salt
two sticks of butter, cut into 1/2 inch pieces, at room temperature
2tsp vanilla extract
2tbs cream cheese, softened
Using a stand mixer, mix the dry ingredients, then add the butter piece by piece, and process until the dough looks wet and crumbly looking.
Toss in the cream cheese and vanilla, and keep going until it starts to form large clumps (30sec).

 

 

2176500846_25106496ee.jpg   pixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

 

2175710079_53654a5efa.jpgpixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

 

2127702415_24b3ef4c68.jpgpixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

For this step, you need a Play-doh extruder

 

2175721011_b1d800ef68.jpgpixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

 

2176506834_70e54acc30.jpg   pixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

 

2128480690_99b18a84a8.jpg   pixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

 

2127706281_50500164a4.jpgpixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

 

How to make Pixel Cookies! - Instructables - DIY, How To, food, tech

 

ที่มา: http://www.thairoyalprojecttour.com/home.php

ใช้รถให้ถูกโฉลก

11/4/51 |

การดำรงค์ชีวิตในยุคปัจจุบัน นอกจาก "ปัจจัย ๔" แล้ว "รถยนต์" นับเป็นอุปกรณ์สำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง ได้รับการยอมรับว่า "เป็นปัจจัยที่ ๕ ของชีวิต" ทุกวันนี้การติดต่อธุรกิจการงาน ต่าง ๆ มรการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา การประกอบธุรกิจต้องคร่องตัวและรวดเร็ว ดังนั้น "รถยนต์" เป็นพาหนะที่สำคัญที่สุดและมีบทบาทต่อมนุษย์มากที่สุด

การซื้อรถยนต์หรือยานพาหนะเป็นเรื่องสำคัญไม่ควรประมาท ต้องรอบคอบ เพราะถ้าไม่ดูวันให้ดี การซื้อรถของท่านนอกจากจะเสียเงินก้อนใหญ่แล้ว จะมีปัญหาตามมา อาทิ เรื่องเดือดร้อนต่าง ๆ และไม่น่าเชื่อว่า"การใช้รถให้ถูกโฉลก" จะมีผลหรืออิทธิพลต่อผู้คน ดังนั้นเรื่อง วันจองรถ, การเลือกสีรถให้ถูกโฉลกกับวันเกิด, วันและเวลาออกรถ, ทิศออกรถ, เคล็ดการออกรถ ตลอดจนพระคาถา เวลาเดินทาง เพื่อความปลอดภัยและเป็นสิริมงคลในการดำเนินกิจการต่าง ๆ

ที่มา: ยอดทิพย์.คอม

ดูดวงสไตล์อินเดีย

11/2/51 |

อัศวินี (13 - 26 เมษายน) เป็นคนแข่งแกร่ง มีอำนาจ และมองหาความท้าทายให้ชีวิตอยู่เสมอ มีบุคลิกร่าเริงแจ่มใส งดงามเฉลียวฉลาด และเปิดเผย แต่กระนั้นก็มีความลึกลับอยู่ในตัวทำให้เป็นคนเข้าใจยาก ในเรื่องความรัก คุณกำลังมองหาคู่ที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ แต่ตัวคุณเองมักไม่พร้อมที่จะมีพันธะ สัญลักษณ์ หัวม้า หมายถึงแจ่มใส ราศีเนื่อคู่ ภรณี สี แดงเข้ม
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ภรณี (27 เมษายน - 10 พฤษภาคม) เป็นคนมีเสน่ห์ทางเพศ ชื่นชมความงามและศิลปะทุกรูปแบบ แต่ต้องระวังอย่าหมกมุ่นในเรื่องเพศมากเกินไป บางครั้งอาจจะก้าวร้าวและดูเหมือนเห็นแก่ตัว จึงต้องหาคู่ที่ไม่กลัวการผูกมัดและสามารถ สนองตอบความต้องการทางโลกียและเพศรสได้ สัญลักษณ์ โยนี (อวัยวะเพศหญิง) หมายถึงมีเสน่ห์ทางเพศ ราศีเนื้อคู่ อัศวินี สี แดงเข้ม
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
กฤติกา (11 - 24 พฤษภาคม) เป็นคนทุ่มเท ฉลาด และสุขุมเยือกเย็นยามเกิดวิกฤต แต่ก็มักโมโหง่ายและถึงแม้จะไม่ชอบการเผชิญหน้าแต่ก็สู้ไม่ถอยเมื่อถึงเวลา เป็นคนที่เปิดกว้างต่อโลกภายนอก แต่ก็เคร่งครัดในศาสนาในเวลาเดียวกัน และถึงเเม้จะกำลังตามหารัก ก็ยังคงกลัวการผูกมัดอยู่ดี สัญลักษณ์ ใบมีด หมายถึงไฟ ราศีเนื้อคู่ เชษฐา สี ขาว
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
โรหิณี (25 พฤษภาคม - 7 มิถุนายน) เป็นคนอ่อนไหว เปลี่ยนแปลงตัวเองได้รวดเร็ว เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้แต่ก็มีเสห่ห์ และชอบ ความสุขสบาย อาจเป็นคนขี้หึงจึงเจ็บปวดได้ง่าย ดูจากภายนอกอาจจะเป็นคนไม่ผูกพันกับใคร แต่ลึก ๆแล้ว ใฝ่หาความรักสุดตัวทีเดียว สัญลักษณ์ ล้อรถ หมายถึงความงาม ราศีเนื้อคู่ อนุราธ สี ขาว
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
มฤคศิร (8 - 20 มิถุนายน) เป็นคนเข้มแข็ง ฉลาดเป็นกรด และหัวไวอีกต่างหาก ทุ่มเถียงทะเลาะกับใครก็ต้องชนะให้ได้ เกิดมีความเป็นผู้นำ และชอบมีอำนาจเหนือผู้อื่นคุณต้องการคู่ชีวิต แต่มีเพียงคนที่คุณต้องการจริงๆ เท่านั้นที่ จะกระตุ้นอารมณ์ปรารถนาของคุณได้ สัญลักษณ์ ศีรษะกว้าง หมายถึงสติปัญญา ราศีเนื้อคู่ หัฏฐะ สี เงิน
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
อารทรา (21 มิถุนายน - 4 กรกฏาคม) เป็นคนประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นที่ชื่นชอบของใครๆ จึงมักวุ่นวายอยู่เสมอและมักให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนอื่น มากเสียจนละเลยความคิดตัวเองไป ความที่ชอบฟังคำซุบซิบและชอบออกงานสังคม อาจทำให้คุณดูเหมือนคนมีความคิดตื้นเขิน แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่คนแบบนั้นเลย คุณยอมสละได้ทุกอย่างเพียงเพื่อทำให้ฝันเป็นจริง สัญลักษณ์ เพชร หมายถึงนักยุทธศาสตร์ ราศีเนื้อคู่ มฤคศิร สี เขียว >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ปุนัพสุ (5 - 18 กรกฎาคม) เป็นคนน่ารัก ห่วงใยและใส่ใจผู้อื่น คุณจะต้องตั้งเป้าหมายและทะยานไปสู่ความสำเร็จเสมอ ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่าตัวเองขาดหลักในชีวิต คุณอยากมีครอบครัวใหญ่ๆแต่ถ้าไม่มีก็จะพยายามเข้าใกล้ กลุ่มคนที่เปิดโอกาสให้คุณได้ใช้สัญชาตญาณความเป็นแม่ แต่ระวังบรรดาคู่รักของคุณจะเซ็งเสียก่อน สัญลักษณ์ คันธนู หมายถึงความเป็นแม่ ราศีเนื้อคู่ ภรณี สี เทา >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ปุษยะ (19 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม)เป็นคนขยัน ทุ่มเทให้กับการทำงาน และมีความสามารถในการปั้นความคิดให้เป็นความ จริงขึ้นมา หาก วางแผนดีๆ ก็จะประสบความสำเร็จในการงานได้ไม่ยากนัก สำหรับคุณ การแสดงความรู้สึกอาจจะเป็น เรื่องยาก แต่ก็ต้องพยายามหน่อยไม่เช่นนั้นคู่ของคุณอาจจะรู้สึกว่าเขาหรือเธอ ไม่เป็นที่ต้องการก็ได้ สัญลักษณ์ ดอกไม้ หมายถึงสีสัน สดุดตา ราศีเนื้อคู่ อัศวินี / อาศเลษา สี แดงและดำ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
อาศเลษา (2 - 15 สิงหาคม) อาจจะดูเป็นคนขี้เกียจ แต่จริง ๆ แล้วสมองไว ไม่เคยหยุดนิ่ง รักอิสระและอาจจะรักสันโดษด้วย รัก ความสงบ ไม่บ่อยนักที่จะโกรธใครแต่ใครมาแหยมเป็นเจอดี และแม้ว่าจะเป็นคนขึ้หึงก็ไม่ได้อยากให้คู่ของคุณมีนิสัยอย่างเดียวกัน สัญลักษณ์ งูพิษ หมายถึงอำนาจสะกดใจ ราศีเนื้อคู่ ปุษยา สี แดง
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
มาฆะ (16 - 29 สิงหาคม)เป็นคนฉลาด เอาตัวรอดเก่ง ร่าเริงแจ่มใส ใครเห็นใครปิ๊ง เป็นผู้นำที่ใจดี แต่แฝงด้วยความเข้มแข็ง ข้อดีเหล่านี้ทำให้คนมากมายชื่นชนคุณ แต่ขณะเดียวกันก็มีคนคอยอิจฉาด้วย คุณมีความสุขดีอยู่กับชีวิตรักแต่ คนรักในอุดมคติของคุณนั้นค่อนข้างจะหายากทีเดียว สัญลักษณ์ วอ หมายถึงชื่อเสียง ราศีเนื้อคู่ เชษฐา สี ครีม
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
บุรพผลคุนี (30 สิงหาคม - 12 กันยายน)เป็นคนอบอุ่น มีเสน่ห์ และดวงดี คุณทำงานหนัก แต่ก็รู้จักหาความสุขกับชีวิต ความกระตือรือร้นที่มีอยู่ต็มเปี่ยมจะนำคุณไปสู่ความสำเร็จ นอกจากนี้คุณยังเป็นคนจริงใจไม่โกหก รสนิยมคุณนั้นเลิศหรูนัก มัก จะเป็นสีสันให้กับงานเลี้ยงเสมอๆ คุณอยากให้ตัวเองและคู่มีเป้าหมายเดียวกันและ เคียงข้างกันก้าวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ สัญลักษณ์ เตาผิง หมายถึงโชค ราศีเนื้อคู่ มาฆะ สี น้ำตาล
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
อุตรผลคุนี (13 - 25 กันยายน)เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี หนักแน่น และเกิดมาเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง เป็นเจ้าแห่งยุทธวิธี และเป็นนักวางแผนที่ดี แต่ความรู้สึกไม่ค่อยมั่นคงและตึงเครียด อาจทำให้คุณประพฤติตนไร้เหตุผล เกิดความประหม่า และไม่มั่นใจได้ คุณคอยเป็นกำลังใจให้คู่ของคุณเสมอ และก็หวังให้เขาหรือเธอเห็นคุณค่าของสิ่งที่คุณทำ และตอบแทนคุณด้วยความรัก สัญลักษณ์ ขาเตียง หมายถึงสู้ชีวิต ราศีเนื้อคู่ บุรพผลคุนี สี ฟ้าสดใส >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
หัฏฐะ (26 กันยายน - 9 ตุลาคม)เป็นคนมีเสน่ห์และน่าสนใจ แต่ก็อารมณ์เสียได้ง่ายๆ คุณทะเยอทะยานและเป็นเจ้าของชะตาชีวิตของตัวเอง บางครั้งอาจจะดูเหมือนเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่จริงๆแล้ว คุณเป็นคนใจกว้างกว่าใครๆ เมื่อคุณตกลง ปลงใจกับคู่ของคุณแล้ว คุณจะดูแลเอาใจใส่เขาหรือเธอเป็นอย่างดี และจะเป็นผู้ให้ที่แสนอารี สัญลักษณ์ ฝ่ามือ หมายถึงการฝึกตนด้วยโยคะ ราศีเนื้อคู่ มฤคศิร สี เขียว >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
จิตรา (10 - 22 ตุลาคม) เป็นคนชอบเข้าสังคม รักชีวิตกลางแจ้ง และชอบเมาต์เป็นชีวิตจิตใจ คุณอาจจะดูมีความสุข กับการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ และหาเพื่อนใหม่ได้ง่ายๆ แต่โดยธรรมชาติของคุณแล้วคุณรักความสันโดษ แม้จะอยากใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนแค่ไหน แต่คุณก็ไม่เคยทุ่มให้เขาหรือเธอเต็ม 100เปอร์เซ็นต์ได้สักที สัญลักษณ์ ไข่มุก หมายถึงความงาม ราศีเนื้อคู่ หัฏฐะ สี ดำ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
สวาตี (23 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน) เป็นคนแอกทีฟ ไม่เคยอยู่นิ่ง แต่มักจะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอะไรเป็นสิ่งต่อไป เพราะอยากทำอะไรๆเต็มไปหมด ถึงแม้ว่าคุณมีอุดมการณ์เป็นแรงบันดาลใจและเป็นพลังขับเคลื่อน แต่คนชอบหาว่าคุณเป็นจอมบงการ จริงๆ คุณก็แค่มีความมุ่งมั่นเท่านั้นเอง ส่วนในด้านความรักพันธะทางใจ ต่อกันนับเป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดสำหรับคู่รักในอุดมคติของคุณ สัญลักษณ์ ปะการัง หมายถึงความทะเยอทะยาน ราศีเนี้อคู่ ภรณี สี ดำ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
วิสาขะ (6 - 18 พฤศจิกายน)เป็นคนทะเยอทะยานแต่ใช่ว่าความสำเร็จทางด้านวัตถุ จะทำให้คุณพอใจเสมอไป หากต้องการเติมชีวิต ให้เต็มอาจจะต้องเปลี่ยนการมองโลกเสียใหม่ ข้อดีของคุณก็คือ สามารถเข้ากับคนได้ทุกระดับ มีความสนใจในสิ่งต่างๆ หลากหลายและแม้ว่าคุณยอมรับการผูกพันกับใครคนหนึ่ง แต่คุณก็ยังคงต้องการความเป็นส่วนตัวอยู่บ้าง สัญลักษณ์ แท่นปั้นหม้อ หมายถึงความหวัง ราศีเนื้อคู่ จิตรา สี ทอง >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
อนุราธ (19 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม)คุณเป็นคนที่มีความขัดแย้งอยู่ในตัว บางครั้งคุณอาจจะสนใจในเรื่องของจิตวิญญาณ แต่ก็วัตถุนิยมแบบสุดขั้วใจดีก็ได้ ใจร้ายก็บ่อย สร้างเสียงหัวเราะให้คนรอบข้างได้ในนาทีหนึ่ง แต่ก็กลับหดหู่ซึมเซาในนาทีถัดมา ดังนั้นคุณจึงไขว่คว้าหาทางสายกลางอยู่ตลอดเวลา คุณกำลังตามหารักแท้และก็พร้อมจะสละทุกสิ่งเพื่อมัน สัญลักษณ์ ดอกบัว หมายถึงความรัก ราศีเนื้อคู่ เชษฐา สี น้ำตาลแดง >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
เชษฐา (2 - 14 ธันวาคม) คุณเป็นคนร่าเริง ทะเยอทะยาน ต้องการประสบความสำเร็จในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยทำได้มาก่อน และเชื่อได้เลยว่าคุณจะทำสำเร็จ หากมีวินัยในตัวเองมากพอ คุณเชื่อมั่นในเรื่องจิตวิญญาณ แต่ก็นิยมยินดีกับเพศรส บางครั้งอาจจะประหม่า แต่ต้องแสดงออกว่ามั่นใจเอาไว้ก่อน นอกจากนี้คุณยังขี้หึง ในขณะที่ตัวเองเป็นคนหลายใจ คุณต้องการคู่ที่ทำหน้าที่คู่สนทนาได้อย่างชาญฉลาด สัญลักษณ์ ตุ้มหู หมายถึงความสง่างาม ราศีเนื้อคู่ มาฆะ สี ครีม >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
มูละ (15 - 27 ธันวาคม) ทดลองของใหม่ๆ อยู่เสมอ และยังเป็นผู้นำที่มองโลกในแง่ดีอีกด้วย คุณเป็นคนเบื่อง่าย แต่เพราะว่าเป็นคนปรับตัวเก่ง จึงลุกขึ้นมาเปลี่ยนอะไรๆ ได้เมื่อสิ่งต่างๆ รอบตัวนั้นดูราบเรียบเกินไป ความสัมพันธ์ ระหว่างคุณและคู่จะเป็นไปได้ด้วยดี ตราบใดที่เขาหรือเธอยอมให้คุณเป็น ตัวของตัวเองต่อไป สัญลักษณ์ หางสิงโต หมายถึงความไม่หยุดนิ่ง ราศีเนื้อคู่ บุพพาสาฬหะ สี เหลืองมีสตาร์ด >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
บุรพสาฬหะ (28 ธันวาคม - 10 มกราคม) เป็นคนสร้างสรรค์ เฉลียวฉลาด และมีปัญญา หากคุณได้ทำงานที่ตรงกับความสามารถแล้วล่ะก็ ทุกอย่างจะผ่านฉลุย และผลที่ได้ก็จะเป็นที่น่าพอใจ คุณเปลี่ยนตัวเองไปได้เรื่อยๆแต่อาจจะพบความยุ่งยาก หากคู่ของคุณไม่ยอมเปลี่ยนตามไปด้วย สัญลักษณ์ งาช้าง หมายถึงบุคลิกที่โดดเด่น ราศีเนื้อคู่ เรวดี สี ดำ
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
อุตตราสาฬหะ (11 - 23 มกราคม)เป็นคนกระฉับกระเฉง สมองดี เข้าขั้นปัญญาชน ทำสิ่งที่ตั้งใจและไล่ตามความฝันได้โดยไม่ย่อท้อ คุณเกลียดการหลอกลวงและคนโกง และจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะได้ทำลายคนพวกนี้ให้สิ้นซาก หนึ่งในความต้องการของคุณคือการได้อยู่คนเดียว ดังนั้นความสัมพันธ์ของคุณอาจจะซับซ้อนและ ยุ่งยากกว่าคนอื่น สัญลักษณ์ ขาเตียง หมายถึงการสันโดษ ราศีเนื้อคู่ อุตตรภัทรบท สี ทองแดง >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ศรวณะ (24 มกราคม - 5 กุมภาพันธ์) คุณมีสมองเฉียบแหลมราวมีดโกน และะรูปลักษณ์ภายนอกอันแข็งแกร่งไว้เพื่อเป็นเกราะ ป้องกันตัว คุณถวิลหาความสงบท่ามกลางสรรพเสียงแห่งชีวิต แต่ก็เป็นผู้ฟังที่ดีและเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาให้ผู้อื่นคู่ของคุณ จะต้องเคารพเงื่อนไขที่คุณตั้งไว้ และจะต้องเข้าใจด้วยว่าบางครั้งคุณก็ต้องการอยู่คนเดียว สัญลักษณ์ หู หมายถึงความเงียบ ราศีเนื้อคู่ อุตตรภัทรบท สี ฟ้า >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ธนิษฐา (6 - 18 กุมภาพันธ์) เกิดมาพร้อมพรพิเศษในทางสายธรรม แต่ก็ใช่ว่าจะทิ้งเรื่องทางโลกย์ คุณมีความสามารถรอบด้าน บุคลิก โดดเด่น มีสง่า ผ่องใส และไม่เห็นแก่ตัว คู่ของคุณอาจจะรู้สึกว่าคุณทำตัวห่างเหิน แต่หากคุณพบ คู่ที่วาดฝันไว้แล้วล่ะก็ คุณจะซื่อสัตย์กับเขาหรือเธออย่างที่สุด และโชคของคุณที่คนรอบข้างยอมรับข้อเสีย หลายอย่างของคุณได้ สัญลักษณ์ ขลุ่ยหรือกลอง หมายถึงดนตรี ราศีเนื้อคู่ ศตภิษัช สี เงิน >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ศตภิษัช (19 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม) เป็นคนยึดมั่นในหลักการ ดูลึกลับในบางครั้ง และชอบตั้งเป้าหมายที่ไกลเกินเอื้อมให้กับตัวเอง คุณมองการณ์ไกลแต่ขาดความมั่นใจ ต้องการมีความสัมพันธ์ที่น่าตื่นเต้น แต่ฝ่ายตรงข้ามจะรู้ได้อย่างไรหากคุณ ไม่เริ่มต้นส่งสัญญาณให้เขาหรือเธอรับรู้เสียก่อน สัญลักษณ์ ดวงดาว หมายถึงความรู้แจ้ง ราศีเนื้อคู่ ธนิษฐา สี เขียวอ่อน
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
บุรพภัทรบท (4 - 16 มีนาคม)คุณเป็นคนอ่อนไหว และห่วงใยคนรอบข้าง ทำให้คนมากมายเข้ามาขอคำปรึกษาจากคุณ ถึงแม้ตอนนี้คุณจะประสบความสำเร็จทางด้านวัตถุแล้วก็ตาม คุณก็ควรวางแผนการเงินของคุณให้ดี นอกจากนี้คุณมักจะ มองคนข้างกายในแง่ดีเกินจริง และเมื่อพูดถึงความสัมพันธ์แล้ว คุณอาจจะดูเหมือนเป็นฝ่ายที่ต้องพึ่งพา แต่จริง ๆ แล้วคุณเป็นคนที่พึ่งตัวเองได้โดยไม่ต้องง้อใคร สัญลักษณ์ ดาบ หมายถึงสันติสุข ราศีเนื้อคู่ อุตตร ภัทรบท สี เงิน >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
อุตตรภัทรบท (17 - 30 มีนาคม) เป็นคนฉลาด ใจบุญ มีอุดมการณ์ และเคารพความฝันของผู้อื่น คุณเชื่อในโชคชะตาและมักมีความรู้สึก ไม่ อยากยุ่งเกี่ยวผูกพัน ไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ ในชีวิต คุณจะเป็นครูที่ดีได้ถ้าเลือกจะไปทางนั้น คุณมักจะ พยายามประคองความสัมพันธ์ให้อยู่รอด แต่ถ้ามันไม่งอกงาม คุณก็จะตัดใจและก้าวไปข้างหน้าต่อไป สัญลักษณ์ ฝาแฝด หมายถึงความมืดที่งดงาม ราศีเนื้อคู่ เรวดี สี ม่วง >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
เรวดี (31 มีนาคม - 12 เมษายน) คุณเป็นคนมีจิตใจเมตตา ห่วงใยผู้อื่น และอ่อนไหว คุณอุทิศตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่เป็นประเภทปิด ทองหลังพระ คุณเป็นคนมีความงาม แต่ขาดความมั่นใจ คุณต้องเรียนรู้ที่จะศรัทธาและไว้ใจคนอื่นบ้าง สำหรับเรื่องความรัก คุณเป็นคนโรแมนติก จึงต้องการคนที่เข้าใจว่าลึกๆแล้วคุณต้องการอะไร สัญลักษณ์ ปลา หมายถึง ความบริสุทธ์ ราศีเนื้อคู่ อุตตรภัทรบท สี น้ำตาล

ที่มา : Forward mail

อยากให้ทุกคนได้อ่านบทความดีๆ เสี้ยวหนึ่งจาก ท่าน ว.วชิรเมธี

ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมากคือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมากเป็นคนดำเนินรายการคนค้นคนดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร นะมาเรียนที่อเมริกาเป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิสทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจานล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดูว่าสะอาดจริงมั้ยกลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลยต้องให้ดีที่สุดเวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆเขียนไว้สามแผนแผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สองแผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สามใครไปดีลงานกับแกติดทุกรายแกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยามีธุรกิจมีชื่อเสียงทุกอย่างแกมีทุกอย่างวันหนึ่งแกพักผ่อนหลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลยลุกเมียไปขอพบบอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิตวันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่องตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไปภรรยาพาเข้าโรงบาลตรวจพบมะเร็งพอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลยจริง ๆ เค้าก็เตือนตลอดแต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคนบันทึกชีวิตแกก่อนจะเสียชีวิตแกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัวแกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก

ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่าพ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบปริญญาใบที่หนึ่ง"ปริญญาวิชาชีพ"เราจะต้องทำมาหากินเป็นกินอิ่ม นอนอุ่น พูดง่าย ๆล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเองแค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ

แต่"ปริญญาวิชาชีวิต"ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิงผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพแต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตกเพราะอะไรเพราะทำงานจนป่วยตาย

ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่างบ้าน รถมอบมันให้กับลูกและภรรยาแต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่างผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยาสิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมียเพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย

นี่คือปริญญาวิชาชีวิตธรรมะเราจะต้องมีถ้าเราไม่มีธรรมะเราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเองที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดีดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้วอย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะแต่ละวันควรจะมีให้ดูแลตัวเอง ดูจิตดูใจตัวเองว่าเราเอ๊ะมันทุกข์มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่าแบกเรื่องโน้นเรื่องนี้เกินไปหรือเปล่าพยายามลดลงในแต่ละวัน ๆเพื่อที่ว่าอะไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิตหนึ่งปริญญาวิชาชีพเราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่งมีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สองคือวิชาธรรมะสำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลางไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไปทำอะไรให้พอดีพอดีอยู่ดีมีสุขอยากเที่ยวให้ได้เที่ยวอยากพักให้ได้พักอยากทำบุญให้ได้ทำบุญลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้างอย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุดและมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดีเพราะอะไรเพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา

เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเ้จ้าว่าอะไรคือสิ่งสูงค่่าที่สุดบางคนก็ตอบเงินบางคนก็ตอบเพชรบางคนก็ตอบทองบางคนก็ตอบอำนาจบางคนก็ตอบราชบัลลังก์พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิตสุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วยคนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะและก็ชีวิตของเรา

(thanks for ... forward mail)

'พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมสมเด็จพระบรมราชชนนีทุกวันประทับข้างพระแท่น ทรงกุมพระหัตถ์ รับสั่งเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสนพระราชหฤทัยถวายเรื่อย ๆ'

เมื่อครั้งสมเด็จย่าเสด็จสวรรคต


สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงพระประชวรอีกครั้งเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 ทรงมี พระอาการทางพระหทัยกำเริบ และทรงเหนื่อยอ่อน คณะแพทย์ถวายการรักษาเบื้องต้นที่วังสระปทุม จนถึงคืนวันที่ 2 มิถุนายน จึงได้เชิญเสด็จพระราชดำเนินเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลศิริราช ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพักรักษาพระองค์จากพระโรคพระหทัย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

ในเวลาต่อมาพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งเล่าเหตุการณ์ในเวลานั้นว่า


หมอเขาบอกมาและโทร.มาบอกสมเด็จพระบรมราชชนนีพระอาการไม่ดีก็เลยไปเฝ้าฯ ไปเฝ้าแล้วเห็นว่าอาการดีขึ้นบ้าง ท่านลืมพระเนตรท่านเห็น เออ กลับบ้านไปซะทีมาอยู่นานแล้ว ก็กลับบ้านวันรุ่งขึ้น หมอบอกไม่ดีต้องเข้าโรงพยาบาล ก็ให้ท่านไปโรงพยาบาล แล้วไปเฝ้าที่โรงพยาบาลเกือบทุกวัน พระอาการไม่ค่อยดีนัก

ภายหลังจากที่เสด็จเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน คณะแพทย์พบว่าเกิดการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต จึงได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะเพิ่ม ต่อมา มีพระอาการแทรกซ้อน มีการอักเสบที่พระอันตะพระอันตคุณ (ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก) และที่พระปับผาสะ (ปอด) ข้างขวา คณะแพทย์ได้พยายามถวายการรักษาสุดความสามารถ พระอาการทั่วไปดีขึ้นบ้าง


ระหว่างนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมสมเด็จพระบรมราชชนนีทุกวันประทับข้างพระแท่น ทรงกุมพระหัตถ์ รับสั่งเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสนพระราชหฤทัยถวายเรื่อย ๆ เวลานั้นคณะแพทย์ถวายยานอนหลับที่ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายทำให้เหมือนบรรทมหลับ แต่ก็ยังรู้พระองค์บ้างสังเกตได้จากการเต้นของพระหทัย

ส่วนสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ประทับอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดเพื่อทรงช่วยดูแลสมเด็จพระบรมราชชนนี ท่านผู้หญิงทัศนาวลัยก็มาเฝ้าฯ สมเด็จยายด้วยทุกวัน ช่วยพยาบาลอย่างคล่องแคล่ว จนคณะแพทย์พยาบาลรู้สึกเหมือนกับว่าท่านผู้หญิงเป็นหนึ่งในคณะ “เวลาหลัง ๆ ต้องมีการอุ้ม เช็ดองค์ ท่านผู้หญิงจะช่วย และรู้จังหวะหมดทุกอย่าง ถอดหมอนตรงโน้น ทำนั่นตรงนี้ เวลาบรรทม ท่านทำได้คล่องแคล่ว” เวลานั้นคณะแพทย์ต้องระมัดระวังเรื่องการติดเชื้อโรคเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่จะเข้าเฝ้าฯ ในห้องที่ประทับส่วนใหญ่คือผู้ที่ถวายการรักษาและพระประยูรญาติที่ใกล้ชิดที่สุดเท่านั้น


ในขณะที่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงพระประชวรครั้งนี้ ประชาชนทั้งหลายต่างจดจ่อคอยติดตามข่าวพระอาการจากแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังที่ประกาศในหนังสือพิมพ์และทางโทรทัศน์ ประชาชนจำนวนมากทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดได้ชักชวนกันปฏิบัติธรรม ตักบาตรทำบุญบำเพ็ญประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลด้วยความจงรักภักดี


ในระยะต้นที่ทรงประชวร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงความวิกฤตของพระอาการแต่ทรงหวังว่าสมเด็จพระบรมราชชนนีจะทรงหายพระประชวรได้ในที่สุด รับสั่งกับคณะแพทย์ว่า แม้ว่าสมเด็จพระบรมราชชนนีอาจจะไม่สามารถทรงพระดำเนินได้ ต้องประทับเก้าอี้เข็นก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแต่ช่วยให้ทรงใช้พระหัตถ์ทรงงานต่าง ๆ ได้เช่นเดิม เพราะโรดการทรงงานด้วยพระองค์เองเสมอ


แต่นับแต่วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา พระอาการไม่ดีขึ้น คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาด้วยการฟอกพระโลหิตด้วยเครื่องไตเทียมเป็นครั้งคราวตามความจำเป็น


ต่อมาแถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 18 ประกาศว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงมีพระอาการทรุดลง เนื่องด้วยมีพระอาการแทรกซ้อนทางพระยกนะ (ตับ) และพระวักกะ (ไต )ไม่ทำงาน พระหทัยทำงานไม่ปกติ ความดันพระโลหิตต่ำทำให้เกิดภาวะเป็นกรดในพระโลหิต คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาความผิดปกติของระบบต่าง ๆ รวมทั้งการฟอกพระโลหิตด้วยเครื่องไตเทียมและกรองสารพิษซึ่งเกิดจากภาวะผิดปกติของพระยกนะ แต่พระอาการตั้งแต่เช้าจนเที่ยงของวันที่ 18 กรกฎาคมคงอยู่ในภาวะวิกฤต


เวลาประมาณ 18 นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาเฝ้าฯ สมเด็จพระบรมราชชนนี ณ ห้องประทับ ตึก 84 ปีประทับข้างพระแท่นสมเด็จพระบรมราชชนนีพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระนัดดา ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม ต่อมาสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมาเฝ้าฯ ด้วย


เวลา 21 นาฬิกา 17 นาที สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกราบที่พระหัตถ์ พระประยูรญาติทรงกราบ และผู้ที่เข้าเฝ้าฯ ทุกคนในที่นั้นจึงหมอบกราบพร้อมกัน
แพทย์หญิงสำอางค์ คุรุคัตนพันธ์ วิสัญญีแพทย์ที่เฝ้า อยู่ในที่ประทับวันนั้นฟื้นความทรงจำว่าท่านประทับอย่างสงบอยู่พักหนึ่งก็รับสั่งเรื่องงาน รับสั่งให้ทางศิริราชนำพระศพไปส่ง ให้เป็นเรื่องของทางศิริราชจะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่ วันนี้ให้เอาพระศพไว้ที่นี่ก่อนแล้วให้ไปส่งพรุ่งนี้ แล้วรับสั่งขอบใจทุกคน ทุกพระองค์ไม่ฟูมฟายเลย แต่พระเนตรที่ก่ำแดงทุกพระองค์ เสด็จออกมาก็รับสั่งทำนองว่า หมอโรงพยาบาลทำดีที่สุดแล้ว และก็ขอบใจทุกคน


สำนักพระราชวังได้ประกาศแถลงการณ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีสวรรคตเมื่อเวลา 23 นาฬิกา 30 นาที แต่ประชาชนส่วนใหญ่กว่าจะได้รู้ข่าวสวรรคตก็ต่อเมื่อรุ่งเช้าวันที่ 19 กรกฎาคม เมื่ออ่านหนังสือพิมพ์หรือฟังวิทยุดูโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวตัวดำใหญ่ สมเด็จย่าสวรรคต ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรในรายการโทรทัศน์สวมชุดดำไว้ทุกถวายตั้งแต่เช้า ตามท้องถนนทุกจังหวัดทั่วประเทศ ผู้คนที่ไปทำงานไปทำธุระแต่งชุดดำหรือสีขาวเป็นส่วนมาก แต่ละคนมีสีหน้าโศกสลดหม่นหมอง


ที่กรุงเทพฯ ประชาชนส่วนหนึ่งเดินทางไปที่ตึก 84 ปีโรงพยาบาลศิริราชเพื่อถวายสักการะพระบรมศพ อีกเป็นจำนวนมากได้หลั่งไหลไปยังศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวังเพื่อร่วมถวายน้ำสรงพระบรมศพหน้าพระฉายาลักษณ์ ยืนเข้าแถวยาวเหยียดล้นออกนอกกำแพงพระบรมมหาราชวังท่ามกลางแดดแผดเผาไม่ย่นระย่อ ทั้งหนุ่มสาวเด็กคนชราคลาคละกัน ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยมีน้ำใจที่ยังแข็งแรง หนุ่มสาวก็เอ่ยปากให้ผู้สูงอายุไปนั่งหลบใต้เงาไม้ก่อน ตนจะยืนรอให้ เมื่อแถวเคลื่อนถึงหน้าศาลาจึงค่อยมาแทรกไม่ต้องทนร้อนทนทุกข์อยู่กลางแดด


ตอนบ่าย เวลาประมาณ 15 นาฬิกา อัญเชิญพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมหาราชวังสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินเป็นประธาน ขบวนอัญเชิญพระบรมศพเคลื่อนไปตามถนนพรานนก ขึ้นสะพานอรุณอัมรินทร์ สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เข้าถนนราชดำเนินสู่พระบรมมหาราชวัง ตลอดเส้นทางสองฟากถนน ประชาชนจำนวนมากยืนเรียงรายท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวและแดดแรงกล้าเฝ้าฯ ถวายบังคมพระบรมศพ บางคนร่ำไห้ปิ่มปานจะขาดใจ บ้างก็ซับหยาดน้ำตาที่ไหลรินร่องแก้ม


เมื่อประมาณ 16 นาฬิกา 30 นาที ก่อนที่จะมีพระราชพิธีสรงน้ำพระบรมศพ ณ พระที่นั่งพิมานรัตยาอากาศก็เปลี่ยนไป มีเมฆครึ้มและฝนตกอย่างหนัก “สายฝนที่หลั่งไหลทำให้บรรยากาศซึมเศร้าเป็นที่อัศจรรย์แก่พสกนิกรทั่วกัน”


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังจัดการพระบรมศพถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประพณี หลังจากพระราชพิธีสรงน้ำพระบรมศพแล้วเข้าพนักงานเชิญพระบรมศพลงสู่หีบที่สร้างเป็นกรณีพิเศษ ตำรวจหลวงเชิญไปประดิษฐานหลังพระเบญจาทองคำสลักลายดุนประดับรัตนชาติสีขาวบนฐานปิดทองทราย ทรงพระบรมโกศที่มีเครื่องประดับครบทุกอย่างซึ่งประดิษฐานภายใต้สัปตปฎลเศวตฉัตร แวดล้อมด้วยเครื่องพรอภิรุมหักทองขวาง ประกอบด้วยฉัตรชุมสาย 3 ชั้น ฉัตร 5 ชั้น ฉัตร 7 บังแทรก และบังพระสูรย์ ณ มุขตะวันตกพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เต็มตามพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมราชชนนี


* * * * * * * * * * * * *


คัดมาจากหนังสือ "พระมามลายโศกหล้า เหลือสุข" ในบทที่ 24 เขียนโดย ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล ที่ปรึกษาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี


ที่มา : http://www.matichon.co.th/

น.ส.พ. มติชนรายวัน รายงาน ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับพิธีพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไว้อย่างละเอียดลออ ดังนี้

1.สางพระเกศาขึ้น-ลง 1 ครั้ง แล้วหักพระสางทิ้ง

การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สางพระเกศาพระศพขึ้น 1 ครั้ง ลง 1 ครั้ง แล้วหักพระสางวางไว้ในพาน แสดงถึงว่าเป็นการสาง (หวี) พระเกศาครั้งสุดท้าย สางพอเป็นสัญลักษณ์พอเป็นพิธี เพื่อแสดงว่าไม่ต้องการความสวยงามใดๆ อีกแล้ว เป็นเครื่องหมายว่าหมดประโยชน์ ไม่มีความจำเป็นต้องแต่งกายใดๆ อีกแล้ว และเมื่อหักสางทิ้งไปแล้ว ก็จะเอาไปไว้ที่ไหนก็ได้ ซึ่งเหมือนกับประเพณีของประชาชนด้วย ที่แสดงว่าจะไม่ได้ใช้สางนั้นอีกต่อไปแล้วจึงต้องหักทิ้งไป

2.เศวตฉัตรประกอบพิธีพระศพ

เศวตฉัตรประกอบพิธีพระศพนั้นจะแตกต่างกันไป ตามพระอิสริยยศที่แตกต่างกัน
ฉัตร 9 ชั้น : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ฉัตร 7 ชั้น : สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระบรมราชกุมารี
ฉัตร 5 ชั้น : สมเด็จเจ้าฟ้า ในส่วนพิธีพระศพของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ นั้นจะเรียกว่า "เบญจปฎลเศวตฉัตร" หมายถึงฉัตรขาวที่มีเพดาน 5 ชั้น
ขั้นตอนเมื่อเชิญพระศพมายังพระบรมมหาราชวังแล้ว จะเชิญพระศพไปประดิษฐานที่พระที่นั่งพิมานรัตยา ซึ่งอยู่ด้านหลังทางทิศใต้ของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ซึ่งพระที่นั่งองค์นี้จะเป็นวิมานที่บรรทมของพระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระอัครมเหสี และเจ้านายฝ่ายในชั้นสูง แต่ในระยะหลังจะใช้เป็นที่ประดิษฐานพระศพ ในการสรงน้ำพระศพ เมื่อสรงน้ำพระศพที่พระที่นั่งพิมานรัตยาแล้วจึงจะอัญเชิญพระศพไปประดิษฐานที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท การประดิษฐานพระศพตามราชประเพณีอยู่ทางมุขด้านตะวันตก พระโกศสำหรับสมเด็จเจ้าฟ้าจะใช้พระโกศทองใหญ่ และใช้เครื่องสูงทองแผ่ลวด มุขด้านใต้จะเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร (พระประจำวันเกิด) ซึ่งพระพุทธประจำพระชนมวารของสมเด็จพระพี่นางเธอฯ คือ พระพุทธรูปปางถวายเนตร ซึ่งเป็นปางประจำวันเกิดวันอาทิตย์ งานหลังจากนี้ต่อไปจนถึง 100 วัน จะเป็นการพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม พระพิธีธรรมจะเป็นงานที่ใช้เฉพาะงานหลวง จะสวดทั้งวันทั้งคืน มีการย่ำยามทุก 3 ชั่วโมง มีปี่ กลอง ประโคม ด้วยทำนองที่เศร้าสร้อย

3.ประโคมย่ำยามทุก 3 ชั่วโมง

การสวดพระพิธีธรรมพระอภิธรรม จะมีการประโคมย่ำยามทุก 3 ชั่วโมง มีปี่ กลอง ประโคม ด้วยทำนองที่เศร้าสร้อย ตั้งแต่ 06.00 น. 09.00 น. 12.00 น. ไปจนถึง 24.00 น. เพื่อบอกเวลาว่าครบ 3 ชั่วโมง ก็จะประโคมขึ้นหนึ่งครั้ง ส่วนการสวดพระอภิธรรมจะสวดทั้งวันทั้งคืน แต่จะมีเวลาพักเว้นระยะเป็นช่วงๆ อาจจะหยุดพักสัก 10-15 นาที ซึ่งจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเจ้านายชั้นสูงขึ้นไป โดยหลักคิดก็จะไม่แตกต่างกับการจัดงานศพของประชาชนทั่วไปตามหลักพระพุทธศาสนา แต่อาจจะเพิ่มรายละเอียด ปริมาณและคุณภาพเข้ามา ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเจ้าภาพที่จะจัดงานนอกจากนี้จะมีการบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อครบ 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน พิธีกรรมก็จะเหมือนกัน นั่นคือ มีการสวดมนต์ แสดงพระธรรมเทศนา 1 กัณฑ์ ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ สดับปกรณ์ (บังสุกุล)

4.สมเด็จพระพี่นางเธอฯ อยู่ในลำดับพระอิสริยยศชั้น 'เจ้าฟ้า'

ภาษาที่ใช้เรียกในการประกอบพิธีพระบรมศพ พระศพ จะแตกต่างกันตามพระอิสริยยศ โดยสมเด็จเจ้าฟ้า จะเรียกว่า พระศพ ส่วนพระยศที่สูงกว่า ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระบรมราชกุมารี จะเรียกว่า "พระบรมศพ" ส่วนพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ ตามราชประเพณีจะสร้างพระเมรุในช่วงฤดูแล้งประมาณเดือนมีนาคม เมษายน ทั้งนี้แล้วแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

5.การแต่งฉลองพระองค์ไว้ทุกข์

การแต่งกายของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ สำหรับการไว้ทุกข์มี 2 แบบ ฉลองพระองค์เต็มยศ และฉลองพระองค์แบบสากล แบบแรกฉลองพระองค์ไว้ทุกข์ด้วยเครื่องแบบเต็มยศ สายสะพายจักรี ติดแขนทุกข์ใต้พระกรซ้าย และจะฉลองพระองค์เครื่องแบบเต็มยศสายสะพายจักรี ในการบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อครบ 7 วัน 50 วัน 100 วัน และวันออกพระเมรุ ส่วนแบบสากลฉลองพระองค์สูทสีดำ ติดแขนทุกข์ใต้พระกรซ้าย สำหรับข้าราชการ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็แต่งกายไว้ทุกข์ตามราชประเพณีตามแต่จะมีหมายกำหนดการกำหนดแจ้งไว้ ส่วนประชาชนก็แต่งกายไว้ทุกข์แบบสุภาพตามประเพณีที่ปฏิบัติ

6.ขบวนรถอัญเชิญพระศพเป็นแบบเรียบง่ายโดยรถโรงพยาบาล

ขบวนรถจะจัดอย่างไรก็ได้ไม่มีระเบียบแบบแผน และจะเป็นแบบเรียบง่ายที่ปฏิบัติกันมาในอดีตก็จะอัญเชิญโดยรถโรงพยาบาลเหมือนกันทุกพระองค์

7.การปฏิบัติตนไว้ทุกข์ของประชาชน

การปฏิบัติตนของประชาชนในการเข้าไปถวายสักการะพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคมเป็นต้นไปนั้น เบื้องต้นประชาชนควรแต่งกายไว้ทุกข์ตามประเพณีใส่เสื้อผ้าสีดำหรือสีขาว การกราบพระศพจะกราบครั้งเดียวไม่แบมือ สุภาพสตรีควรนุ่งกระโปรง เพราะตามธรรมเนียมที่จะไม่นุ่งกางเกงเข้าในพระบรมมหาราชวัง ถ้าเป็นไปได้ก็ควรสวมรองเท้าหุ้มส้น ถ้าไม่มีก็ต้องเป็นแบบเรียบร้อย ส่วนประชาชนทั่วไปที่จะแสดงออกเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล สามารถทำได้ทุกอย่าง ทำที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องรอให้ถึงวันที่ 10 มกราคม สามารถทำได้ทันที ทั้งการตักบาตร ทำบุญ บำเพ็ญกุศล บำเพ็ญทาน ถวายสังฆทานต่างๆ บวชพระ เลี้ยงพระ นิมนต์พระมาเทศน์ ก็สามารถทำได้

8.บรรจุพระศพลงหีบพระศพแทนพระโกศ

(ชัชพล ชัยพร) ตามโบราณราชประเพณีเมื่อพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เสด็จสวรรคต จะประกอบพิธีบรรจุพระบรมศพ พระศพ ลงในพระโกศ แต่ในรัชกาลปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เชิญพระบรมศพ และพระศพ ลงหีบพระศพ แทนใส่การใส่พระโกศ ซึ่งสามารถทำได้ตามพระราชอัธยาศัย ได้แก่ พระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ

หมายเหตุ : นายธงทอง จันทรางศุ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับพิธีพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ส่วนคำถามสุดท้าย นายชัชพล ชัยพร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ให้ข้อมูล

ที่มา : http://www.matichon.co.th/

อาขยาน

3/1/51 |

ทร ออกเสียง /ซ/
ทรวดทรงทราบทรามทราย ทรุดโทรมหมายนกอินทรี
มัทรีอินทรีย์มี เทริดนนทรีพุทราเพรา
ทรวงไทรทรัพย์แทรกวัด โทมนัสฉะเชิงเทรา
ทอรอเหล่านี้เรา ออกสำเนียงเป็นเสียงซอ

สระ"ใ"ไม้ม้วน
ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ
ใฝ่ใจเอาใส่ห่อ มิหลงใหลใครขอดู
จะใคร่ลงเรือใบ ดูน้ำใสและปลาปู
สิ่งใดอยู่ในตู้ มิใช่อยู่ใต้ตั่งเตียง
บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง
เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี

คำที่ใช้ " คร "
กินครองแครงครามครันไม่ครั่นคร้าม ครูท่านห้ามครูดตัวแม่ครัวหนี
เคราะห์นงคราญคร่ำครวญครุ่นฤดี ครั้นจะตีครุฑคร่าพาครึกโครม
ใครครอบครองอย่าคร้ามครุยจะคราก ครึกครื้นมากคราวใคร่ดังไฟโหม
ครางฮือฮือครือครืนครื้นเครงโครม ครึ้มพโยมครึมเครือเหลือประมาณ
ครีบเป็นครามครึจริงยิ่งกว่าครึ่ง เอาครึนขึงตึงเครียดเรียดขนาน
ดึงครุครืดแคร่พังนั่งนอกชาน คร่อมสะพานครบครั้งนั่งครู่ครก
เอาไม้คราดเคร่งครัดปัดคร่าวคร่าว เสือโคร่งก้าวเท้าไปใครพลัดตก
ดังโครกครากคร่ำคร่ำเครื่องสาธก ไม้คร่าวตกเคราหล่นปนน้ำครำ
เห็นหอยแครงตัวครั่งปลาชักครอก ตะไคร้ออกดอกชุกทุกฉนำ
ตะไคร่น้ำเคร่าท่าคราประจำ ทุกทุกคำนี้ไซร้ใช้ตัว "ครอ"ฯ

วิชาเหมือนสินค้า
วิชาเหมือนสินค้า.........อันมีค่าอยู่เมืองไกล
ต้องยากลำบากไป........จึงจะได้สินค้ามา
จงตั้งเอากายเจ้า.........เป็นสำเภาอันโสภา
ความเพียรเป็นโยธา.......แขนซ้ายขวาต่างเสาใบ
นิ้วเป็นสายระยาง...... .สองเท้าต่างสมอใหญ่
ปากเป็นนายงานไป.......อัชฌาศัยเป็นเสบียง
สติเป็นหางเสือ..........ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง
ถือไว้อย่าให้เอียง........ตัดแล่นเลี่ยงข้ามคงคา
ปัญญาเป็นกล้องแก้ว......ส่องดูแถวแนวหินผา
เจ้าจงเอาหูตา...........เป็นล้าต้าฟังดูลม
ขี้เกียจคือปลาร้าย........จะทำลายให้เรือจม
เอาใจเป็นปืนคม.........ยิงระดมให้จมไป
จึงจะได้สินค้ามา.........คือวิชาอันพิสมัย
จงหมั่นมั่นหมายใจ.......อย่าได้คร้านการวิชา

ปากเป็นเอกเลขเป็นโท
ปากเป็นเอกเหมือนเสกมนต์ใช้คนเชื่อ......ฉลาดเหลือวาจาปรีชาฉาน
จะกล่าวถ้อยร้อยคำไม่รำคาญ...........เป็นรากฐานเทิดตนพ้นลำเค็ญ
เลขเป็นโทโบราณท่านสั่งสอน...........เร่งสังวรเวี่ยไว้ใช้ว่าเล่น
การคำนวณควรชำนาญคูณหารเป็น........ช่วยให้เด่นดีนักหนารู้ค่าคน
หนังสือเป็นตรีวิชาปัญญาเลิศ............เรียนไปเถิดรู้ไว้ไม่ไร้ผล
ยามยากแค้นแสนคับไม่อับจน...........ได้เลี้ยงตนด้วยวิชาหาทรัพย์ทวี
ชั่วดีเป็นตราประทับไว้กับโลก............ยามวิโยคชีพยับ ลับร่างหนี
ที่สูญแท้ก็แต่ตัวก็แต่ตัวส่วนชั่วดี..........คงที่เป็นลือทั่วชั่วฟ้าดิน

พ่อแก่...แม่เฒ่า (อ.สุนทรเกตุ)
พ่อแม่ก็แก่เฒ่า............จำจากเจ้าไม่อยู่นาน
จะพบจะพ้องพาน..........เพียงเสี้ยววารของคืนวัน
ใจจริงไม่อยากจาก.........เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
แต่ชีพมิทนทาน...........ย่อมร้าวรานสลายไป
ขอเถิดถ้าสงสาร..........อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ
คนแก่ชะแรวัย...........คิดเผลอไผลเป็นแน่นอน
ไม่รักก็ไม่ว่า............เพียงเมตตาช่วยอาทร
ให้กินและให้นอน.........คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ
เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้ง........ให้คิดถึงเมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ยามป่วยไข้.........ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน
เฝ้าเลี้ยงจนเติบใหญ่........แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียงจะได้ยล..........เติบโตจนสง่างาม
ขอโทษถ้าทำผิด...........ขอให้คิดทุกทุกยาม
ใจแท้มีแต่ความ...........หวังติดตามช่วยอวยชัย
ต้นไม่ที่ใกล้ฝั่ง...........มีหรือหวังอยู่นานได้
วันหนึ่งคงล้มไป..........ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง

ที่มา : http://th.wikipedia.org/

พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ (จาก The Merchant of Venice ของ วิลเลียม เช็คสเปียร์)
"...อันว่าความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
เป็นสิ่งดีสองชั้นพลันปลื้มใจ แห่งผู้ให้และผู้รับสมถวิล

เป็นกำลังเลิศพลังอื่นทั้งสิ้น เจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระกรุณา
ประดุจทรงวราภรณ์สุนทรสวัสดิ์ เรืองจรัสยิ่งมกุฏสุดสง่า

พระแสงทรงดำรงซึ่งอาชญา เหนือประชาพสกนิกร
ประดับพระวรเดชวิเศษฤทธิ์ ที่สถิตอานุภาพสโมสร

แต่การุณยธรรมสุนทร งามงอนกว่าพระแสงอันแรงฤทธิ์
เสถียรในหฤทัยพระราชา เป็นคุณของเทวาผู้มหิทธ์

และราชาเทียมเทพอมฤต ยามบพิตรเผยแผ่พระกรุณา..."

เรื่องราวของพ่อค้า น้ำมิตร และความรักแห่งเมืองเวนิส

เหตุการณ์ในบทอาขยานที่ได้รับการอัญเชิญมานี้
จับความในตอนที่ ยิว ซึ่งหมายถึงไชล็อก พ่อค้าเงินกู้แห่งเมืองเวนิส ได้ให้บัสสานิโยกู้เงินจำนวน 3 พันเหรียญโดยไม่คิดดอกเบี้ย แต่ให้ทำสัญญากัน โดยมีพยานรู้เห็นว่าหากไม่สามารถชำระเงินกู้ได้ตามเงื่อนไข จะขอเชือดเนื้อหนัก 1 ปอนด์จากส่วนใดของร่างกายก็ได้ของอันโตนิโย เพื่อนรักของบัสสานิโยผู้เป็นคู่แค้นของตน เป็นการชำระหนี้แทน ไชล็อกมีเจตนาร้ายต่ออันโตนิโยมาแต่ต้น และสัญญาแบบนี้ในเมืองเวนิสยุคนั้นสามารถทำได้ ดังนั้นเมื่อบัสสานิโยไม่สามารถชำระหนี้ได้ ยิวคนดังจึงขอบังคับคดีต่อศาล เพื่อเชือดเนื้อหนัก 1 ปอนด์ตรงหัวใจของอันโตนิโย แม้ทั้งศาล ทั้งเจ้าเมือง และใครต่อใครจะร้องขอ ไชล็อกก็หาได้ยินยอมไม่ ซ้ำยังสาปแช่งว่า หากเจ้าเมืองไม่ตัดสินคดีความให้เที่ยงตรง ขอให้เมืองเวนิสพบภัยพิบัติ ปอร์เชีย นางเอกของเรื่อง ปลอมตัวเป็นเนติบัณฑิตเข้ามาในศาล เพื่อทำหน้าที่แทนเบลลาริโย นางได้ซักถามไชล็อกกับอันโตนิโยเกี่ยวกับสัญญาเป็นเบื้องต้น เห็นว่ากฎหมายเวนิสมิได้ห้ามการทำสัญญาแบบนี้ อันโตนิโยจึงตกในที่เสียเปรียบ จึงขอให้ไชล็อกกรุณา แต่ไม่เป็นผล ไชล็อกกลับบอกว่าจะ “บังคับ” ตนด้วยเหตุผลใด ปอร์เชียจึงกล่าวหว่านล้อมอย่างคมคาย และเตือนไชล็อกว่าอย่าได้อ้างแต่ความยุติธรรมตามสัญญา
ตรงนี้เอง จึงเป็นที่มาของคำประพันธ์อันลือลั่น ที่ปอร์เชียกล่าวต่อไชล็อก เรื่องราวทั้งหมดหาอ่านได้ตามอัธยาศัย

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/

เมืองไทยใหญ่อุดม ดินดีสมเป็นนาสวน
เพื่อนรักเราชักชวน ร่วมช่วยกันมุ่งหมั่นทำ
วิชาต้องหาไว้ เป็นหลักได้ใช้ช่วยนำ
ให้รู้ลู่ทางจำ ค้นคว้าไปให้มากมี
ช่วยกันอย่างขันแข็ง ด้วยลำแข้งและแรงกาย
ทำไปไม่เสียดาย แม้อาบเหงื่อเมื่อทำงาน
ดั่งนี้มั่งมีแท้ ร่มเย็นแน่หาไหนปาน
โลกเขาคงเล่าขาน ถิ่นไทยนี้ดีงามเอย.

ที่มา : http://www.banfun.com/poet/

ตัวเปล่า
เจ้าเกิดมา ก็มา แต่ตัวเปล่า
ใครหอบเอา สมบัติมา ก็หาไม่
ถึงคราวจาก ทอดทิ้งไว้ มิเอาไป
ติดตามได้ แต่บาปบุญ ของเจ้าเอง
อันสมบัติ พัสถาน บริวารพร้อม
จักห้อมล้อม เราได้ เพียงชั่วหน
พอชีพดับ ทับถมดิน สิ้นฝูงชน
เหลือเพียงตน ไปเดี่ยว แต่เดียวดาย
อย่าโลภมาก อยากใมหญ่ ใจวุ่นยิ่ง
จงแย่งชิง ข่มเหงเขา เอาแต่ได้

มองตนเอง
โทษคนอื่น มองเห็น เป็นภูเขา
โทษของเรา ไม่เห็น เท่านเส้นขน
กลิ่นคนอื่น เหม็นเบื่อ จนเหลือทน
กลิ่นของตน ถึงเหม็น ไม่เป็นไร
คนใจบุญ ยิ้มแย้ม จิตแจ่มใส
มีดวงใจ สะอาด ดูเหมาะสม
สร้างความดี ที่ถูก ปลูกนิยม
ไม่โสมม ดั่งคนโลภ ชองกอบโกย
คนโลภมาก อยากใหญ่ ใจเถื่อนนรก
ไม่เห็นอก คนอื่นเขา เอาแต่ได้
ถึงคนอื่น จะหิวโหย ช่างหัวใคร
เอาแต่ได้ ฝ่ายตน คนอัปรีย์
จะฉ้อโกง เบียดเบียนเขา ทำไม
ไม่เห็นใคร เอาไปดว้ย เมื่อม้วยมรณ์

ที่มา : http://www.geocities.com/luangpuman/navtang_cha

ประพันธ์โดย พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

เรื่อง กฤษณาสอนน้อง เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่เคยมีผู้ใดทำการวิเคราะห์ที่มาของวรรณกรรมเรื่องนี้ จนกระทั่งมีการแต่งเป็นหนังสือในรัชกาลที่ 3 และกลายเป็นวรรณคดี คำฉันท์ที่สำคัญเล่มหนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นคนแรกที่ทรงวิจารณ์ที่มาของเรื่องนี้อย่างถูกต้องและสรุปได้ในที่สุด ว่านำมาจากเรื่อง มหาภารตะ ของอินเดีย เรื่องเดิมเป็นรูปแบบคำสนทนาระหว่างหญิงสองคนที่เป็นเพื่อนกัน

เรื่อง กฤษณาสอนน้อง เป็นวรรณกรรมประเภทคำฉันท์ เชื่อได้แน่นอนว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ต้นฉบับเดิมหายสูญไป ระยะเวลาที่แต่งจะเป็นสมัยอยุธยาตอนต้น หรืออยุธยาตอนปลาย เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดลงไปได้ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลสองประการ คือ

ประการที่หนึ่ง ไม่มีต้นฉบับตัวเขียนสมัยอยุธยาหลงเหลืออยู่เลย

ประการที่สอง เรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์นี้มีตกทอดมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในรูปแบบของ วรรณกรรมมุขปาฐะ คือท่องจำและถ่ายทอดกันมาด้วยการเล่าปากเปล่า ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องที่ท่องจำกันมาจึงผิดเพี้ยนกันไป และหายตกหล่นไปมากต่อมาก จะเอาเนื้อหาสาระที่บริบูรณ์เป็นแก่นสารก็ไม่ได้ ประกอบทั้งภาษาสำนวนที่แต่งก็ไม่ได้อยู่ในขั้นดี กล่าวง่าย ๆ คือ เป็นสำนวนบ้านนอก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรด ทรงพระราชดำริว่าเนื้อเรื่องดี แต่ภาษาไม่ดีพอ น่าจะแต่งใหม่ให้ดีกว่านั้น จึงทรงอาราธนาให้ กวีแก้วแห่งรัตนโกสินทร์ คือ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์ ทรงแต่งใหม่ทั้งหมด แต่รักษารูปแบบคำประพันธ์คือคำฉันท์ไว้ตามเดิม

“…พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
ความดีก็ปรากฏ กิติยศลือชา
ความชั่วก็นินทา ทุรยศยินขจร...”


"...อย่าซอนซอนสรวลเสียงสำเนียงดัง
อย่าระเริงกิริยาเป็นน่าชัง
ถ้ายามพลั้งชนจะชวนสำรวลพลัน
อย่าด่วนดำเนินไคลครรไลแล่น
กรกรีดแหวนแกว่งหัตถาหกหัน
อย่ามุ่งเมิดเดินบาทจะพลาดพลัน
อย่าทัดพันธุ์มาลาเมื่อคลาไคล
อย่าเสยเกศยุรยาตรเมื่อนาถย่าง
จีบพกหกลางขายสำเนียงส่งเสียงได้
สะกิดเพื่อนเยื้อนสรวลสำรวลใน
อย่าทรงสะไบพลางเดินดำเนินลี
อย่ายอหัตถ์ผัดลบกำโบละ
ประทินประนางย่างทางวิถี
อย่านุ่งกรายภูษาเดินจรลี
จะเสื่อมศรีศักดิ์ยุพาไม่ถาวร
อนึ่งอย่าทรงสะไบครองทั้งสองบ่า
เปลือกพระกายินทรีศรีสมร
ถ้าชายสบก็จะสรวลสำรวลอร
เป็นเครื่องร้อนสำรวมหทัยไม่ธำรง..."

ที่มา : http://th.wikisource.org/, http://www.praphansarn.com

คนเรานั้นจะมีกรอบความคิดในใจ (Frame of Mind) เวลาที่เรามีกรอบความคิดในใจเชิงลบ (Negative Frame of Mind) จะดูดพลังงานของเราไป
ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่คนเราโกรธแค้นใคร กระบวนการทางอารมณ์ก็จะมีการออกแบบการตอบโต้ ซึ่งก็จะทำให้เกิดความรู้สึกหมกมุ่น ไม่สามารถทำงานได้ สิ่งที่จะทำก็มีแต่พฤติกรรมเชิงลบ
เวลาที่มีการล้างแค้นนั้น สุดท้ายก็จะเกิด Negative Sum Game เพราะเมื่อคนหนึ่งแค้น และได้แก้แค้น คนที่ถูกแก้แค้น ก็จะกลับมาล้างแค้นอีก เป็นวัฎจักรอย่างนี้ไปตลอด มีแต่เสียกับเสีย
พลังงานที่ควรจะถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ก็จะไม่ได้ใช้
การที่เราคิดเชิงลบนั้น ไม่เพียงแต่จะดูดพลังงานของเราแค่คนเดียวเท่านั้น แต่คนที่รอบข้างเราก็จะโดนดูดพลังงานไปด้วย
เสียงจากภายใน
คณเคยรู้สึกหรือไม่ว่าภายในตัวของท่านมีเสียงจากข้างใน (Inner Voice) อยู่ ถ้าจะทำอะไรสักอย่างจะมีทั้งเสียงที่ดี และไม่ดี อยู่ข้างใน เสมือนมีซาตาน กับปิศาจทะเลาะกันอยู่ข้างในหัว ซึ่งจะมีแต่ตัวเราเท่านั้นที่จะได้ยิน
เสียงที่อยู่ข้างในนั้นมาจากความคิดของเรา ซึ่งจะบอกให้เราประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา
เสียงที่อยู่ภายในของเรา ที่บอกเราให้ทำอย่างโน้น อย่างนี้ นั้นมาจากจิตของเรา ถ้าเราจิตดี เราจะคิดดี แต่ถ้าเราจิตร้าย จิตประสงค์ร้าย เราก็จะคิดเลว
อย่างที่บอกไปว่า 25% มาจาก DNA ของพ่อแม่ อีกประมาณ 30% มาจากสภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมที่สำคัญที่สุดก็คือ “คน” ที่อยู่แวดล้อมคุณ
ตอนที่เรายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อายุประมาณสัก 7-8 ขวบ ก็ทำตามเสียงภายในของตัวเองแล้ว
และสภาพแวดล้อมจากพ่อแม่ หรือเพื่อน ครู อาจารย์ ฯลฯ ก็จะสามารถค่อยๆ ปรับเสียงในตัว และพัฒนาไปสู่การปรับจิต และเมื่อถึงเวลานั้น จิตก็จะมาสั่งเสียงในตัวอีกทีหนึ่ง
เสียงภายในของเราจะพัฒนาในลักษณะของการอธิบาย ว่าดี หรือไม่ดี ประสบการณ์ก็จะช่วยในการอธิบาย และหากยิ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ่ำๆ เสียงภายในก็จะอธิบายได้ชัดเจนขึ้น
เหมือนกับเป็น กึ๋น ในที่สุด
คนที่ประสบความสำเร็จนั้นเขาตัดสินใจด้วยกึ๋น ซึ่งก็คือการรวมของประสบการณ์ อันมีลักษณะคล้ายกับ “เสียงภายใน”
คำถามก็คือ คุณจะฝึกเสียงภายในแบบมองโลกในแง่ดีอย่างที่มันเป็นได้อย่างไร?
คนที่มองโลกในแง่ดี ก็จะมีเสียงภายในแบบหนึ่ง คนที่มองโลกในแง่ร้ายก็มีเสียงภายในอีกแบบหนึ่ง คอยกำกับพฤติกรรมอยู่
เสียงภายในจะพัฒนาออกมาเป็นคำอธิบาย นั่นคือ ไม่ได้บอกเพียงแค่ ใช่ หรือ ไม่ใช่ แต่จะออกมาเป็นชุดคำอธิบาย เหมือนกับว่าเป็นหมอดูให้กับตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น เซลล์คนหนึ่งขายสินค้าไม่ได้ ถ้าหากเขามองโลกในแง่ดีก็จะมีเสียงภายในบอกว่า ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่
แต่ถ้าเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย เสียงภายในก็จะบอกให้เลิกขาย เกิดการท้อถอย
ดังนั้น เสียงในใจจะอธิบายพฤติกรรมตรงหน้า พร้อมทั้ง พยากรณ์พฤติกรรมในอนาคตของเราด้วย

ที่มา : http://thaicoon.wordpress.com/