แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Health-Food แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Health-Food แสดงบทความทั้งหมด

อนุมูลอิสระ หรือ free-radical เป็นสารที่มีองค์ประกอบทางเคมีที่ทำร้ายสุขภาพของคนเรา ซึ่งเจ้านี้ ร่างกายเราจะได้รับจากมลภาวะที่เป็นพิษ ไม่ว่าจะน้ำ อากาศ หรือจากควันบุหรี่ แต่สิ่งที่อันตรายที่สุด คือมันมาจากอาหารที่คนเรากินนี้เอง
      นอกจากนี้ครับ ร่างกายเราเองยังสามารถที่จะผลิตเจ้าอนุมูลอิสระนี้ขึ้นมาในช่วงที่มีการเผา ผลาญพลังงาน แต่ในภาวะปกติ ร่างกายสามารถรักษาความสมดุลของเจ้าอนุมูลอิสระ แต่หากเมื่อไรก็ตามที่เราได้อนุมูลอิสระจากภายนอกเข้ามามากๆ นั้นแหละครับที่จะเข้าสู่ช่วง "oxidative stress" นำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
     ก่อนอื่นที่เราจะรู้ว่าอาหารประเภทไหนที่ต่อต้านเจ้าอนุมูลอิสระ เราควรจะมารู้จักว่า วิตามินและเกลือแร่อะไรบ้างที่มีบทบาทสำคัญต่อการต่อต้านเจ้าอนุมูลอิสระ
(1) วิตามิน - วิตามินสำคัญที่ต่อต้านอนุมูลอิสระคือ วิตามิน C, E และ เบต้า แคโรทีน
(2) เกลือแร่ - ตัวสำคัญคือ เจ้า เหล็ก และ ซีลีเนียม
(3) สารอาหารอื่นๆ - ตัวสำคัญคือ ฟลาโนวอยส์ และ โพลีฟีนอล

เอาละครับ รู้แล้วว่า มีอะไรบ้างที่มีหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ที่นี้มาดูว่าเจ้าพวกนี้มีอยู่ในอาหารกลุ่มใดบ้าง
เริ่มที่

วิตามินซี - แน่นอนว่ามีมากใน ผลไม้ และ ผัก ผลไม้อย่าง ส้ม มะนาว เกรฟฟรุต มะระกอ สตอเบอรี ส่วนผัก ก็อย่าง พวกกะหล่ำ หรือบร็อคโคลี ผักขมก็มีเยอะ
วิตามินอี - มากที่สุดในน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันคาโนลา และ วีท เยอม นอกจากนี้ยังมีใน ถั่ว อะโวคาโด ผักสีเขียวและพวกธัญพืช
เบต้า-แคโรทีน - จะพบมากในผลไม้สีเขียวหรือสีเหลืองเข้ม นอกจากนี้ยังมีในแครอท ฟักทอง ถั่วเขียว บร็อคโคลี แอปปิคอท
ฟลาโนวอย - มีมากในผักและผลไม้ ชา ถั่วเหลือง
โพลีฟีนอล - มีอยู่ในธัญพืช โดยเฉพาะ ข้าวฟ่าง อีกทั้งมีในผลไม้ โดยเฉพาะองุ่น นอกจากนี้ยังพบในชา ไวน์ และชอคโกแลต
เหล็ก - พบมากในเนื้อสัตว์และปลา นอกจากนี้ยังมีในธัญพืชต่างๆ
ซีลีเนียม - พบในผักและธัญพืช แต่พวกนี้จะต้องถูกปลูกในดินที่มีสารซีลีเนียมมากๆด้วย
เป็นไงบ้างครับ คราวนี้เราก็รู้แล้วว่า อาหารพวกไหนบ้างที่ทำให้เราห่างไกลจากโรคต่างๆ

 

 

ที่มา .. www.health24.com

แยมสตรอเบอร์รี่

|

แยมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากน้ำ และเนื้อผลไม้ปนกัน ผลไม้ที่จะนำมาทำแยมนั้น
จะต้องเลือกชนิดที่มีเพคตินสูง ผลไม้ที่นิยมนำมาใช้ทำแยมกันมากได้แก่
สับปะรด ส้ม สตรอเบอร์รี่ ในการทำแยมจะต้องเลือกผลไม้ที่ห่าม จนเกือบสุก
เพราะจะเป็นช่วงที่มีเพคตินอยู่มากที่สุด และมีกรดอยู่ในปริมาณที่เพียงพอ
แยมที่ดีควรมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่ 68% มีลักษณะที่อ่อนตัว
สามารถทาบนขนมปังได้ง่าย ภาชนะที่บรรจุแยมก็ต้องมีความสามารถ
ในการทนความร้อนได้ดี เพราะจะต้องทำการบรรจุในขณะที่แยมยังร้อนอยู่
ส่วนใหญ่นิยมใช้ขวดแก้วที่ผ่านการต้ม หรือนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อมาแล้ว
เมื่อบรรจุเสร็จแล้วควรปิดฝาให้สนิทและเก็บไว้ในที่ ๆ เย็นและแห้ง
อุปกรณ์สำคัญที่ควรจะมีเมื่อทำแยมก็คือ
หม้อเคลือบใบโต ๆ แล้วก็ควรจะสูง ๆ ด้วย คือเมื่อนำผลไม้ใส่ลงไปแล้ว
หม้อจะต้องสูงกว่าผลไม้ประมาณ 4 เท่า เวลาทำแยมก็เริ่มจากนำเนื้อผลไม้
และน้ำผลไม้(ถ้ามี)ใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นก็นำไปตั้งไฟอ่อน ๆพอเริ่มเดือด
ก็ให้เร่งไฟเป็นไฟกลางค่อนข้างแรง ช่วงนี้ห้ามละสายตาเด็ดขาดและต้องหมั่นคน
เพราะไม่งั้นแยมจะไหม้ติดหม้อ เคี่ยวให้เดือดไปเรื่อย ๆ ประมาณ 10 นาที
จนเหนียวดี สังเกตว่ามันได้ที่จากเวลาเรายกไม้พาย ที่ใช้กวนขึ้นมา
มันจะหยดเป็นสายช้า ๆ ลักษณะหนืด ๆ ก็ใช้ได้ หรือทดลองหยดลงไปในน้ำเย็น
ถ้ามันจมดิ่งลงไป แปลว่า แยมใช้ได้แล้ว หรืออาจวัดโดยเทอร์โมมิเตอร์สำหรับ
ใช้ทำทอฟฟี่ จะต้องได้อุณหภูมิประมาณ 218 - 220 F
หรือ 103 - 105 C จึงจะใช้ได้

แยมสตรอเบอร์รี่ (สูตร 1)
ส่วนผสม :
สตรอเบอร์รี่ 500 กรัม
น้ำตาลทราย 2 ถ้วย
วิธีทำ :
ล้างสตรอเบอร์รี่ให้สะอาด ผ่าครึ่งลูกใส่ลงในหม้อ เคล้ากับน้ำตาล
แล้วนำไปตั้งไฟอ่อน ๆ คอยคนตลอดเวลา
เมื่อโดนความร้อน น้ำสตรอเบอร์รี่จะออกมา
ตั้งไฟเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนสตรอเบอร์รี่สุกนุ่มและข้นติดพาย
จึงตักใส่ขวดที่ล้างสะอาดแล้วปิดฝา

แยมสตรอเบอร์รี่ (สูตร 2)
วิธีทำ :
ละลาย เจลาตินผง 1/2 ออนซ์ (14.1 กรัม)กับน้ำ 1+1/2 ถ้วย
ลงในภาชนะเคลือบใบโต ๆ ตั้งทิ้งไว้ 4 นาที
ถ้าหาเจลาตินผงไม่ได้ก็ใช้แผ่นเจลาติน ยี่ห้อ เยลลิต้า [GELITA] แทนได้
เป็นซองสีฟ้า ๆ หาซื้อได้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป โดยใช้ประมาณ 8 - 9 แผ่น
ตัดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาแช่ในน้ำ ตั้งทิ้งไว้ 4 นาทีเหมือนกัน
จากนั้นก็นำส่วนผสมนี้ขึ้นตั้งไฟอ่อนประมาณ 5 นาที คนเรื่อย ๆ จนเจลาตินละลายดี
จึงเติมสตรอเบอรี่4 + 1/ 2 ถ้วย , น้ำตาลทราย3/ 4 ถ้วย และ
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะลงไป ตั้งไฟจนส่วนผสมเดือด
แล้วเร่งไฟเป็นไฟกลางค่อนข้างแรง เคี่ยวให้เดือดต่อไปอีกประมาณ 10 นาที
ช่วงนี้ต้องหมั่นคน พอได้ที่ก็ยกลง ทิ้งให้เย็น
แล้วตักใส่ขวดที่นึ่งฆ่าเชื้อแล้ว เป็นอันเสร็จ

แยมสตรอเบอร์รี่ (สูตร 3 )
วิธีทำ :
นำสตรอเบอร์รี่ 4 +1/ 2 ถ้วย ใส่ลงในหม้อเคลือบก้นหนา
ใช้ทัพพีกดสตรอเบอร์รี่ให้แตก เติมน้ำตาล 5 - 7 ถ้วย
และน้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะลงไป นำขึ้นตั้งไฟกลางค่อนข้างแรงจนเดือด หมั่นคน
เมื่อส่วนผสมเดือดดีแล้ว เติมเพคตินชนิดน้ำ (Liquid Pectic)
ลงไป 9 ออนซ์ ( 1 ออนซ์ = 2 ช้อนโต๊ะ)
เพคตินนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ คนให้เข้ากัน
พอเดือดจัด ๆ อีกครั้งก็ยกลง บรรจุลงขวด


http://www.maama.com/column/guzzie/view.php?id=000347

ส่วนผสม
น้ำมะนาวสด 150 กรัม
น้ำตาลทราย 600 กรัม
เยื่อจากเปลือกมะนาว 50 กรัม
เปลือกมะนาวหั่นชิ้นเล็กต้มกับน้ำตาล 50 กรัม
น้ำเปล่า 150 กรัม
วิธีทำ
1. คั้นมะนาวเอาแต่น้ำ
2. นำเปลือกมะนาวไปกับน้ำผสมเกลือ 5% พอเดือดตักออกแช่น้ำเย็น
นำไปต้มกับน้ำเดือดอีก 1 ครั้ง ล้างน้ำเย็น
3. ดึงเอาเยื่อขาว ๆ ออกมาปั่นกับน้ำเล็กน้อยให้ละเอียด
4. เปลือกหั่นชิ้นเล็กยาว ต้มกับน้ำจนมะนาวนิ่ม ตักขึ้นพักไว้
5. เตรียมน้ำ 130 กรัม ต้มกับน้ำตาลทราย 70 กรัม พอน้ำตาลละลาย
ใส่เปลือกมะนาวที่ต้มแล้วตั้งไฟอ่อน จนน้ำเชื่อมซึมเข้าในเปลือกมะนาว
น้ำเชื่อมจะงวด และเข้มข้น ปิดไฟยกลงตักเอาแต่เปลือกมะนาวใส่ ตะแกรงพักไว้
6. นำเยื่อมะนาวที่ปั่นแล้วต้มกับน้ำเปล่า 150 กรัม ต้มให้เดือด 3-5 นาที
เติมน้ำตาลทราย คนให้ละลาย ต้มให้เดือด 2-3 นาที ต้องค่อย ๆ คนอย่าให้ไหม้
7. เติมมะนาวลงไป ต้มต่อไปจนวัดความหวานได้ 68-70%
8. คนให้ฟองออก เทใส่ขวดที่นึ่งแล้ว ปิดฝาให้แน่น คว่ำขวดลงประมาณ 3 นาที
แล้วหงายขึ้น อย่าปล่อยทิ้งไว้จนเย็น เพราะจะทำให้เป็นก้อนค้างบริเวณฝาขวด
9. ล้างขวดให้สะอาด เก็บไว้รับประทานได้นานวัน
จัดทำโดย มัณฑนา ร่วมรักษ์
สำนักบริการคอมพิวเตอร์ , 30 พฤศจิกายน 2543

แยมมะนาว
โดย คุณวราพรรณ ชัยชนะศิริ
แยมโฮมเมดสูตรนี้ อาจทำยากนิดหน่อย เพราะต้องจัดการกับผิวมะนาว
ให้คลายความขมลง แต่ให้ผลลัพท์เป็นความอร่อย สำหรับใครที่ชอบมะนาว
แยมสูตรนี้น่าสนใจทีเดียว หากอยากให้สีสวยอาจเติมสีผสมอาหารนิดหน่อย
เพราะอย่างว่าแหละ สีมะนาวออกจะจืดชืดไปสักนิด
ส่วนผสม
ผิวมะนาว 10 ผล
น้ำมะนาว 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
น้ำ สำหรับปั่นผิวมะนาว 1 ถ้วย
น้ำ สำหรับผสมผงเยลาติน 1/2 ถ้วย
ผงเยลาติน 1/4 ถ้วย
เกลือ 5 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
หั่นผิวมะนาวเป็นฝอยๆ ต้มในน้ำเดือด 1 ครั้ง
แช่ในน้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วนำไปขยำเกลือ ล้างด้วยน้ำสะอาด
ต้มผิวมะนาวในน้ำเดือดอีกครั้ง ประมาณ 5 นาที
แช่น้ำทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง ให้ผิวมะนาวจืดลง
แยกผิวมะนาวออกมาส่วนหนึ่ง นำมาซอยเป็นชิ้นเล็กๆ
ส่วนที่เหลือปั่นพร้อมน้ำให้ละเอียด นำไปเคี่ยวกับน้ำตาลทราย
และผิวมะนาวที่แยกเก็บไว้ ให้เป็นยางมะตูม ใส่ผงเยลาติน
เคี่ยวต่อจนเดือด พักไว้ให้เย็น ก่อนบรรจุขวด

แยมสับปะรด

|

แยมสับปะรด สูตร 1
ส่วนผสม
เนื้อสับปะรด 400 กรัม (หั่นละเอียด)
น้ำสับปะรด 200 กรัม
น้ำตาลทราย 700 กรัม
ผงเพคติน 1 ช้อนโต๊ะ
กรดมะนาว 2 ช้อนชา
เกลือ 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. นำเนื้อและน้ำสับปะรดใส่กระทะทองเหลืองตั้งไฟ
2. แบ่งน้ำตาลทราย 50 กรัมผสมกับผงเพคติน
ค่อย ๆ โรยลงในสับปะรด คนจนน้ำตาลทรายละลาย
3. เติมน้ำตาลทรายที่เหลือจนหมด คนให้ละลายแล้วกวนต่อไป
4. เติมกรดมะนาว เกลือลงไป แล้วคนไปเรื่อย ๆ
จนวัดความหวานได้ 68 บริกซ์ หรือเมื่อยกพายไม้ขึ้นแยมจะค่อย ๆ ไหลลงมา
5. บรรจุลงขวดสะอาดที่ฆ่าเชื้อแล้ว
ขณะที่แยมยังร้อนปิดฝาตั้งทิ้งไว้ให้เย็น แยมจะแข็งตัว
หมายเหตุ
- ขวดที่จะใช้บรรจุต้องล้างให้สะอาด แล้วนึ่งฆ่าเชื้อประมาณ 15 นาที ผึ่งให้แห้ง
- แยมที่เปิดใช้แล้ว ควรเก็บไว้ในตู้เย็น

แยมสับปะรด สูตร 2
ส่วนผสม
สับปะรดสับละเอียด 2 ถ้วย
น้ำตาล 2 ถ้วย
น้ำ 1/2 ถ้วย
เกลือ 1/2 ช้อนชา
วิธีทำของครูนิจ
1.สับปะรดปอกเปลือกแล้วสับหยาบๆ เอาแกนออกเสีย แล้วเทใส่ลงในหม้อเคลือบ
เติมน้ำตามส่วน แล้วต้มเคี่ยวไฟปานกลางให้น้ำงวดลงและ
สับปะรดเปื่อยยกลงจากเตาทิ้งไว้ให้เย็น
2.เทสับปะรดใส่ลงในกระชอนหยาบๆ ครูดให้เนื้อหลุดมาให้หมด
ตวงด้วยถ้วยตวงตามส่วนข้างบน มีสับปะรด น้ำตาล เกลือ
แล้วยกขึ้นมาตั้งไฟกลางเคี่ยวจนงวด
3.เทใส่ขวดแก้วซึ่งเตรียมไว้ เทแยมใส่ขณะกำลังร้อนให้เต็มขวด
ทิ้งไว้ให่เย็น แล้วปิดฝาเก็บไว้รับประทาน
ที่มา http://www.krunid.com/board/index.php?topic=25.0

แยมสับปะรด สูตร 3
แยมสูตรนี้จะมีลักษณะเป็นวุ้น
เพราะมีส่วนผสมของผงเพคติน ซึ่งหาซื้อได้จากร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ทั่วไป
ผงเพคตินสกัดมาจากผลไม้ที่มีเพคตินมาก จึงใช้ได้อย่างปลอดภัย
และไม่ทำให้รสชาติแยมเสียไป
โดยในการใช้ ต้องพยายามให้เพคตินละลายให้หมดก่อนน้ำตาล
ช่วงที่ใส่เพคตินจึงควรใช้ไฟอ่อน เมื่อเพคตินละลายหมด จึงค่อยเร่งไฟขึ้น
ส่วนผสม
เนื้อสับปะรดสับละเอียด 300 กรัม
น้ำสับปะรด 700 กรัม
น้ำตาลทราย 800 กรัม
น้ำเปล่า 150 กรัม
กรดซิตริก 1 ช้อนโต๊ะ
ผงเพคติน 7 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
ผสมเนื้อสับปะรด น้ำสับปะรด น้ำเปล่า น้ำตาลทราย 400 กรัม
ยกตั้งบนไฟกลางจนเนื้อสับปะรดสุกใส
ผสมน้ำตาลทราย 400 กรัมกับเพคติน หรี่ไฟให้อ่อนลง เติมน้ำตาลลงในสับปะรด
ใส่กรดซิตริกคนให้ละลาย เร่งไฟขึ้นเล็กน้อย คนด้วยพายไม้อย่างสม่ำเสมอ
จนส่วนผสมเดือดประมาณ 1-2 นาที ตักดูส่วนผสมหนืดขึ้น ตักแล้วไม่หยดลงมา
ปิดไฟ คนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมอุ่น และข้นขึ้น เทใส่ขวดที่ต้มฆ่าเชื้อแล้ว
และแห้งดี ปิดฝา รอเย็น เก็บเข้าตู้เย็น ใช้ทานกับขนมปัง

 

ที่มา มะลิลา.คอม

แยม หมายถึง ผลิตภัณฑ์ทำจากผลไม้ผสมกับสารที่ให้ความหวาน
อาจผสมน้ำผลไม้หรือน้ำผลไม้เข้มข้นด้วยก็ได้แล้วทำให้มีความเหนียวพอเหมาะ
เยลลี่ หมายถึง ผลิตภัณฑ์ซึ่งทำจากผลไม้ที่ได้จากการคั้นหรือสกัดจากผลไม้สด
หรือน้ำผลไม้ที่ผ่านกรรมวิธีหรือทำให้เข้มข้น หรือแช่แข็งผสมกับสารที่ให้
ความหวาน และทำให้มีความข้นเหนียวพอเหมาะโดยไม่มีเนื้อผลไม้เจือปน
มาร์มาเลต หมายถึง ผลิตภัณฑ์ซึ่งทำจากตระกูลส้ม อาจมีเนื้อผลไม้หรือไม่มีก็ได้
ผสมกับเปลือกหรือเนื้อผลไม้ชิ้นบาง ๆ และสารที่ให้ความหวาน
ทำให้มีความเข้มข้นเหนียวพอเหมาะ ในกรณีที่ทำจากผลไม้ชนิดอื่นให้ระบุชื่อของ
ผลไม้ชนิดนั้นไวัหลังคำว่ามาร์มาเลต จะเห็นได้ว่าหลักการในการทำแยม เยลลี่
และมาร์มาเลตก็ใช้หลักการเดียวกันแตกต่างกันไปบ้าง
เช่น แยม ใช้เนื้อผลไม้ด้วยเยลลี่กรองเอาเฉพาะส่วนที่ใส
และมาร์มาเลตทำจากส้มและผสมผิวส้ม ลงไปด้วย


ส่วนประกอบในการทำแยมและเยลลี่
1. ผลไม้และผักบางชนิด ก็สามารถนำมาทำแยมและเยลลี่ได้
แต่ก็ต้องเลือกดูให้เหมาะสมในการที่จะนำมาใช้ทำแยม ควรจะเลือกดูว่า
ผลไม้นั้นควรจะ สด ไม่เน่าเสีย ไม่เป็นโรคหรือมีรา
เพราะส่วนที่จะนำมาทำจะเป็นพวกเนื้อผลไม้ (pulp)
น้ำผลไม้ (juice) อาจเป็นผลไม้สดหรือผลไม้ที่แช่แข็ง แช่เย็น ตลอดจน
เนื้อผลไม้ที่บรรจุกระป๋องก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสม
นอกจากนี้ ผลไม้สดที่ใช้อาจเป็นผลไม้สุกหรือดิบ หรือผสมกันระหว่างสุกกับดิบก็ได้
เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่น รส สีตามต้องการ
ถ้าเป็นผลไม้สดควรล้างกำจัดผง ฝุ่นละออง ยาฆ่าแมลงตกค้างและสิ่งอื่นที่ติดปนมา
ให้หมดไปก่อน ที่จะนำมาทำผลิตภัณฑ์
โดยปกติ แยมประกอบด้วยส่วนของผลไม้ 45 ส่วนต่อน้ำตาล 55 ส่วน
ต้มหรือเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนมีความเข้มข้นประมาณ 68.5-70 องศาบริกซ์
แยกมอาจทำจากผลไม้ชนิดเดียวหรือหลายชนิดผสมกันก็ได้
ส่วนเยลลี่ก็มีส่วนประกอบคล้ายคลึงกับแยม
แต่ใช้น้ำผลไม้หรือส่วนน้ำที่สกัดจากผลไม้ที่ใช้ทำต้องผ่านการกรอง
เพื่อให้ได้น้ำผลไม้ใสและต้องไม่น้อยกว่า ร้อยละ 20 ของน้ำหนัก
2. น้ำตาล เป็นตัวให้ความหวานและเนื้อแก่ผลิตภัณฑ์
และช่วยให้เพคตินตกตะกอนเป็นเจลปริมาณน้ำตาลที่ใช้ขึ้นอยู่กับปริมาณเพคติน
และความเป็นกรดด่างของเนื้อหรือน้ำผลไม้ชนิดนั้น ๆ ถ้าปริมาณเพคตินมาก
ปริมาณน้ำตาลที่ใช้ต่อน้ำหนักของผลไม้ก็มากด้วย แต่ในทางทางกันข้าม
ถ้าผลไม้ มีความเป็นกรดสูง (เปรี้ยว) ปริมาณน้ำตาลที่ใช้ต่อน้ำหนักผลไม้
หรือน้ำผลไม้ต่ำ อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำตาลทั้งในแยมและเยลลี่ไม่ควรสูงกว่า
70 องศาบริกซ์ (วัดโดย รีแฟคโตมิเตอร์)
3. กรด นอกจากมีความสำคัญต่อรสของผลิตภัณฑ์แล้วยังช่วยให้เจลอยู่ตัวมากขึ้น
แต่ถ้ามีกรดมากเกินไปก็จะทำลายความอยู่ตัวของเจลได้
โดยปกติ ความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ของแยม
และเยลลี่อยู่ระหว่าง pH 3.0-3.5 ส่วน pH ที่เหมาะสมที่สุดทั้ง
ของแยมและเยลลี่คือ pH 3.2 กรดที่ใช้ส่วนใหญ่มีอยู่แล้ว ตามธรรมชาติ
3.1 กรดซิตริก มีใน ส้ม มะนาว
3.2 กรดทาร์ทาริด มีใน องุ่น มะขาม
3.3 กรดมาลิก มีใน แอปเปิ้ล
4. เพคติน (pectin) เป็นสารละลายน้ำได้เป็นสารที่สกัดจากผลไม้
เช่น เปลือกส้ม ส้มโอ เป็นต้น เพคตินจะเกิดเป็นร่างแหในขณะที่ต้มน้ำตาลกับผลไม้
ทำให้เกิดเจลขึ้น ปริมาณเพคตินที่เติมลงไปขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้ คือ ถ้าปริมาณ
เพคตินในผลไม้มาก จำนวนเพคตินที่เติมลงไปก็น้อยหรืออาจไม่ต้องใช้เลยก็ได้
การตรวจสอบปริมาณเพคตินในน้ำผลไม้อย่างง่าย ๆ คือ
น้ำผลไม้ที่กรองจนใส 1 ส่วน ผสมกับแอลกอฮอล์
(ethyl alcohol 95%) 3 ส่วน ใส่ในถ้วยแก้วที่ ใสสะอาด
ผสมให้เข้ากันดี ถ้าเกิดตะกอนคล้ายวุ้นหนา แสดงว่าเพคตินมาก
ถ้าวุ้นบาง แสดงว่ามีเพคตินปานกลาง
ถ้าเป็นตะกอนเล็ก ๆ ลอยอยู่ทั่วไป แสดงว่ามีเพคตินน้อย

คุณลักษณะของแยมและเยลลี่ที่ดี คือ
แยมที่ดีต้องมีลักษณะข้นเหนียวหรือกึ่งแข็งกึ่งเหลว
พอเหมาะสำหรับ ใช้ทา มีสี กลิ่น รส ตามชนิดของผลไม้ที่ใช้ทำ
การตรวจดูว่าแยมได้ที่หรือยัง
แยมจะได้ที่อาจดูได้โดยใช้เทอร์โมมิเตอร์วัด ให้อุณหภูมิของผลิตภัณฑ์ถึง
103 ํ-105 ํ ซ. หรืออาจวัดโดยใช้รีแฟรคโตมิเตอร์วัดหาร้อยละของ
สารที่ละลาย ได้ให้ถึง 68.5 ก็ถือว่าใช้ได้
การบรรจุ
ก่อนการบรรจุ ควรลดอุณหภูมิของผลิตภัณฑ์เป็น 90 ํซ.
แล้วรีบบรรจุในขวดที่ล้างสะอาดและอบฆ่าเชื้อแล้ว
ถ้ามีฟองควรตักฟองที่อยู่ที่ผิวหน้าแยมทิ้ง
เพราะ ถ้ามีฟองจะทำให้ผลิตภัณฑ์ขุ่นดูไม่น่ารับประทาน

ใครๆก็รักสุขภาพ ฉะนั้นนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เปิดครัวสาธิตการทำ “แยมมะละกอกลิ่นมะนาวน้ำตาลต่ำ”
อันเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อผู้ป่วยที่ต้องควบคุมน้ำตาลและผู้รักสุขภาพ
เผยสูตรอาหารทำเงินแบบง่าย ๆ ในยุคของแพง
โดย นางสาวช่อ ลัดดา เที่ยงพุก นักวิจัยจากฝ่ายกระบวนการและแปรรูป
สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ม.เกษตรศาสตร์ เป็นผู้สาธิตการทำ
อันว่า แยมมะละกอนี้เป็นหนึ่งในอีกหลายเมนูอาหารของสถาบันค้นคว้าและ
พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ที่สามารถให้แม่บ้านนำกลับไปปรุงให้สมาชิกที่บ้านได้ชิม
กันอย่างง่าย ๆ และยังเป็นอาหารเสริมสุขภาพไปพร้อม ๆ กันด้วย
ช่อลัดดา กล่าวว่า แยมคือผลิตภัณฑ์ถนอมอาหารที่ทำจากเนื้อผลไม้ผสมกับน้ำตาล
หรือจะผสมกับน้ำผลไม้หรือน้ำผลไม้เข้มข้นด้วยก็ได้
และทำให้มีความเข้มข้นเหนียวพอเหมาะ ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหารของ
กระทรวงสาธารณสุข แยมโดยทั่วไปมีน้ำตาลสูงประมาณ 59-61%
แต่แยมมะละกอกลิ่นมะนาวน้ำตาลต่ำ จะมีระดับน้ำตาล 35% เท่านั้น
ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องงดอาหารรสหวานและต้องควบคุมน้ำตาล ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
ผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และผู้ที่รักสุขภาพทั้งหลาย
และที่เลือกมะละกอมาแปรรูปเป็นแยมก็เนื่องจากมะละกอเป็นผลไม้ที่ปลูกง่าย
ให้ผลทุกฤดูกาล ราคาไม่แพง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยระบายท้อง
และยังมีสารเพคตินที่ช่วยให้เกิดเจลปริมาณสูงจึงเหมาะที่จะนำมาทำแยม
สูตรการทำแยมมะละกอกลิ่นมะนาวน้ำตาลต่ำ

ประกอบด้วย
เนื้อมะละกอสุก 310 กรัม
น้ำมะนาว 90 กรัม
น้ำตาลทรายขาว 330 กรัม
เกลือ 0.20 กรัม
ผงบุก 5 กรัม
แบะแซ 100 กรัม
ผงเพคติน (Low methoxyl pectin) 5 กรัม

วิธีทำ
เริ่มด้วยการนำชิ้นมะละกอสุกมาหั่นหรือปั่นหยาบนำเพคตินมาผสมกับ
น้ำตาลทราย 6 เท่าของน้ำหนักแล้วคนให้เข้ากัน เติมน้ำ 2 เท่าของน้ำหนักเพคติน
รวมกับน้ำตาลทรายและคนให้เข้ากัน นำเนื้อมะละกอที่หั่นแล้วมาใส่หม้อสเตนเลส
แล้วเอาไปตั้งไฟ คนให้เดือดอ่อน ๆ 5 นาที ใส่น้ำตาลทรายทีละน้อย
เพิ่มไฟให้แรงขึ้น คนตลอดเวลา ใส่เกลือ เคี่ยวจนน้ำตาลละลายดี
จึงเติมสารละลายเพคตินและน้ำมะนาวที่ใส่รวมกับแบะแซ ล้างภาชนะด้วยน้ำร้อน
เคี่ยวต่อจนส่วนผสมเดือด ยกลงมาชั่งน้ำหนักแยมต้องได้ 1,000 กรัม
ถ้าน้ำหนักเกินก็ให้เคี่ยวต่อไป
แต่ถ้าน้ำหนักน้อยกว่าก็ให้เติมน้ำต้มสุก เมื่อได้น้ำหนัก 1,000 กรัมแล้ว
ให้ยกลงจากเตาช้อนฟองออกบรรจุใส่ขวดแก้วที่ผ่านการนึ่งฆ่าเชื้อแล้ว 5 นาที
รอให้อุณหภูมิแยมลดลง 85-93 องศาเซลเซียสแล้วจึงปิดฝาให้สนิท
ก่อนที่จะวางทิ้งไว้ให้แยมเป็นเจล ก็จะได้แยมมะละกอที่มีน้ำตาลต่ำประมาณ 35%
และควรเก็บแยมไว้ในตู้เย็นหรือใส่สารกันเสียคือโซเดียมเบนโซเอท 0.04%
และโปรตัสเซียมซอร์เบท 0.04% ของน้ำหนักแยมโดยละลายน้ำเล็กน้อย
และใส่ในช่วงใกล้จุดยุติ จะสามารถเก็บแยมไว้ได้ที่อุณหภูมิห้องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
สำหรับรสชาติผลไม้นั้น เราสามารถนำไปปรับเปลี่ยนรสชาติของผลไม้ได้ตามความชอบ
หรือทำแล้วจะนำไปจำหน่ายก็จะดีไม่น้อย เพราะเป็นการช่วยกันนำสูตรอาหารจาก
งานวิจัยไปใช้เพิ่มมูลค่าให้ผลไม้ไทยและยังส่งเสริมสุขภาพ ผู้บริโภคได้อีกด้วย

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2551

สรรพคุณของรังนก

19/8/51 |

รังนกทำมาจากอะไร

รังนก ทำมาจากน้ำลายของนกนางแอ่นหรือนกอีแอ่น ซึ่งสำรอกออกมาแล้วจับตัวแข็งมีรูปร่างคล้ายกับรังนก น้ำลายของนกนางแอ่นที่สำรอกออกมาครั้งแรก จะมีสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งเรียกกันว่า รังนกขาว จัดได้ว่าเป็นรังนกที่มีคุณภาพดีที่สุด ส่วนน้ำลายที่นกนางแอ่นสำรอกหลังออกมาจากครั้งแรก จะเว้นสักระยะหนึ่ง ไม่ใช่สำรอกออกมาจนหมดตามที่เข้าใจ นกนางแอ่นสำรอกน้ำลายเพื่อออกมาสร้างรังนกจนกระอักเลือดนั้น ไม่เป็นความจริง รังนกที่เราเห็นเป็นสีแดงนั้น เกิดจากสนิมในถ้ำที่นกทำรังไว้ได้รับความชื้นสูง สนิมจึงแทรกซึมเข้าไปในรัง โดยเฉพาะรังที่นกสร้างขึ้นในช่วงที่สอง และสาม ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูฝน ผิดกับรังแรกที่สร้างขึ้นในฤดูหนาว ประมาณเดือนกุมภาพันธ์

สำหรับในเมืองไทยนั้น เรามีนกนางแอ่นสามชนิดด้วยกัน คือ นกแอ่นกินรัง นกแอ่นกินรังตะโพกขาว และนกแอ่นหางสี่เหลี่ยมหรือนกแอ่นรังดำ นกนางแอ่นสองชนิดแรกนั้น จะให้รังนกสีขาว ส่วนชนิดหลัง จะให้รังสีดำ โดยที่รังจะมีขนนกเป็นส่วนผสมด้วย แต่ทั้งสามชนิดนั้นสามารถใช้รับประทานได้

สรรพคุณของรังนกนางแอ่น

1. คนจีนทั้งแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง นิยมบริโภครังนกเป็นชีวิตจิตใจ มีการค้นพบว่า ในสมัยราชวงศ์หมิงตอนปลาย ได้ปรากฏว่า มีแพทย์เขียนใบสั่งยา โดยมีรังนกเป็นส่วนผสม โดยเชื่อว่า รังนกสามารถรักษาโรคทางเดินหายใจ ช่วยบำรุงสุขภาพเด็กที่ร่างกายไม่แข็งแรงได้ดี

2. เครื่องยาจีนสำหรับบำรุงปอด ชื่อ รังนกเก๋ากี้ (เก๋ากี้เอี้ยงออ) มีส่วนผสมของรังนก 5 กรัม เก๋ากี้ 10 กรัม น้ำตาลกรวด 50 กรัม กินทุกเช้าเย็น ครั้งละหนึ่งถ้วย มีสรรพคุณ ช่วยบำรุงปอด ตับ และไต เสริมประสิทธิภาพบำรุงปอดได้ดีมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ปอดอ่อนแอ ไอแห้ง หรือหลอดลมอักเสบเรื้อรัง มีอาการร้อนขึ้นในตอนบ่าย ร่างกายอ่อนแอ เหงื่อออกผิดปกติขณะหลับ ผู้ป่วยวัณโรคในระยะพักฟื้น

3. ศ.ดร. หยุน เฉิน กง แห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง เป็นนักวิจัยที่เกี่ยวกับสมุนไพรจีนและยาที่ทำจากสัตว์ ได้ค้นพบว่า รังนกเป็นโปรตีนที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งเชื่อกันว่า สามารถส่งเสริมเซลล์ภายในระบบภูมิคุ้มกันโรคได้ และเป็นไปได้ที่จะใช้มันต้านสารเสพติด AZT และสามารถต่อต้านภูมิคุ้มกันบกพร่องในโรคเอดส์ได้ (Eric Valli and Diane Summers, Shadow Hunters (Singapore: Sun tree publishing limited,1990),9.)

4. นิสา พงศ์ชู นักสัตววิทยาของไทย ได้สรุปผลจากการตรวจสอบสารประกอบที่สกัดได้จากรังนกนางแอ่นพบว่า สารประกอบดังกล่าวมีคุณสมบัติเป็นตัวยับยั้งHaemagglutinationซึ่งเกิดจาก เชื้อไวรัสไข้หวัดไข้หวัดใหญ่ ได้อย่ามีประสิทธิภาพ

5. การวิเคราะห์คุณภาพรังนกนางแอ่นของ Quate(1952) พบว่า จากรังนก100 กรัม ปรากฎว่ามี โปรตีนร้อยละ 54 คาร์โบรไฮเดรต ร้อยละ 23.3 น้ำร้อยละ16.2 ไขมันร้อยละ 0.3 และอื่นๆ อีกร้อยละ 5.9 ซึ่งรวมถึงฟอสฟอรัส 32 มิลลิกรัม

6. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโยลีแห่งประเทศไทย ได้ทำการวิเคราะห์หาส่วนผสมของรังนกนางแอ่น พบว่า ประกอบด้วยโปรตีนร้อยละ 60.90 แคลเซียม ร้อยละ 0.85 น้ำร้อยละ5.11 โพแทสเซี่ยมร้อยละ 0.05 และฟอสฟอรัส ร้อยละ 0.03 ซึ่งสารแต่ละชนิดต่างก็มีคุณค่าทางโภชนาการทั้งสิ้น

ที่มา : http://www.hong-teh.com

ลิงก์เพิ่มเติม: บ้านรังนก

มังคุด

22/5/51 |

  •  

  • ในบรรดาผลไม้ไทยทั้งหลาย "มังคุด" ได้รับการยกย่องให้เป็น "ราชินีแห่งผลไม้" ด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินีส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด รสชาติอร่อย อย่างยากที่จะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้ ในขณะที่ "ทุเรียน" จัดเป็น "ราชาแห่งผลไม้" ด้วยทั้งลักษณะภายนอกของผลที่เป็นหนามคล้ายมงกุฎของพระราชา และเนื้อในที่มีสีเหลืองทอง รสชาติที่แสนอร่อยที่ยากจะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้ขณะเดียวกัน

  • เมื่อย่างเข้าฤดูฝนก็จะมีทั้งราชาและราชินีของผลไม้ไทย ออกมาให้ได้รับประทานกันอย่างเต็มอิ่ม แถมยังมีราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ จนเป็นที่อิจฉาของชาวต่างประเทศในหลายประเทศ ถึงขนาดที่พวกเขายอมลงทุนขึ้นเครื่องบินมากินทุเรียนและมังคุดในเมืองไทยกันปีละครั้งกันเลยทีเดียว เพราะมีไม่กี่ประเทศในโลกที่ปลูกทุเรียนและมังคุดได้ และทุเรียนและมังคุดของไทยก็จัดว่าอร่อยที่สุด

  • มังคุด(Mangosteen) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Gardinia mangosteen Linn. จัดอยู่ในวงศ์ Guttiferae จัดเป็นไม้ผลเมืองร้อน แต่ชอบฝนชุ่มฉ่ำ จึงปลูกมากทางภาคใต้ของประเทศไทย เป็นไม้ยืนต้น ต้นตั้งตรงสูง 10 - 25 เมตร ใบสีเขียวเข้ม ทรงพุ่มแน่นกลม ดูงามสง่า และทุกส่วนจะมียางสีเหลืองมีใบเดี่ยวรูปไข่เนื้อ ใบหนา ค่อนข้างเหนียวคล้ายหนัง สีเขียวเข้มเป็นมัน ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลือง กลีบดอกสีแดงฉ่ำน้ำ เนื้อในของผลมังคุดสีขาวห่อหุ้มด้วยเปลือกหนาสีม่วงอมแดง หรือม่วงอมน้ำตาลอันมีกระจุกของกลีบเลี้ยงของดอกติดอยู่ที่ขั้วของผลอันเป็นเอกลักษณ์ของมังคุด มังคุดจัดเป็นไม้ผลชนิดเดียวที่ไม่มีการกลายพันธุ์ จึงมีลักษณะดั้งเดิมเหมือนสมัย 100 ปีที่ผ่านมา

  • มังคุดเป็นผลไม้ยอดนิยมที่สุดชนิดหนึ่งของคนไทย จะมีออกมาให้เราบริโภคเพียงปีละครั้ง คือช่วงย่างเข้าฤดูฝน การบริโภคมังคุด จะให้พลังงานต่ำ เหมาะเป็นผลไม้สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก กากใยจากเนื้อของมังคุดช่วยในการขับถ่าย และยังได้สารอาหาร วิตามินและเกลือแร่อื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น น้ำตาล กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก

  • เคล็ดลับในการรักษามังคุดให้สดนานที่สุด คือ เก็บไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 2 องศาเซลเซียส โดยบรรจุในถุงพลาสติกไม่เจาะรู ปิดปากถุงให้แน่น และเลือกมังคุดที่ยังเป็นสีชมพู วิธีนี้จะรักษามังคุดไว้ได้นานราวๆ 49 วัน

  • ประโยชน์ของมังคุดมิได้มีอยู่แค่เนื้อในของมังคุดที่เราใช้เป็นอาหารเท่านั้น เปลือกของมังคุดกับมีประโยชน์มากมายที่สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคอย่างได้ผล คนไทยรู้จักการใช้ประโยชน์จากเปลือกมังคุดมาเป็นยารักษาโรคมานานแล้ว เพราะคนไทยสมัยโบราณค้นพบว่าเปลือกมังคุดรสฝาดสมาน จึงนำเปลือกมังคุดมาใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วงเรื้อรัง ถ่ายเป็นมูกเลือด โดยการใช้เปลือกสดหรือเปลือกแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งต้มกับน้ำรับประทานก็ได้ผลเช่นเดียวกัน

  • นอกจากนี้ เปลือกมังคุดยังมีสรรพคุณในการสมานแผล ช่วยให้แผลหาเร็ว เช่นใช้รักษาบาดแผลผุพอง แผลเน่าเปื่อย แผลเป็นหนอง โดยการใช้เปลือกมังคุดฝนกับน้ำปูนใสทาบริเวณแผล น้ำต้มเปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำล้างแผลใช้แทนการด้วยน้ำยาล้างแผลหรือด่างทับทิมได้ด้วย

  • สรรพคุณที่โดดเด่นทางด้านผิวหนังก็ คือ มีการใช้เปลือกมังคุดรักษาโรคผิวหนัง เช่น กลากเกลื้อน บรรเทาอาการผดผื่นทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี โดยใช้เปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมังคุดทาบริเวณที่มีอาการผื่นคันทั้งหลาย โดยผลที่ได้นี้ ได้รับการพิสูจน์และยืนยันจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบว่า รสฝาดในเปลือกมังคุดนี้มีสารแทนนิน (Tannin) และสารแซนโทน (Xanthone) ที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า สารแมงโกสติน (mangostin) สารแทนนินมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแมงโกสตินมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง สารแซนโทนในเปลือกมังคุดยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังและกลากได้

  • ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้ช่วยยืนยันและช่วยรื้อฟื้นให้ภูมิปัญญาพื้นบ้านให้กลับมาเข้ายุคเข้าสมัยได้อีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันวงการเครื่องสำอางและ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดได้ให้ความสนใจนำสารสกัดจากเปลือกมังคุดไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่เปลือกมังคุด ที่ช่วยดับกลิ่นเต่าช่วยบรรเทาโรคผิวหนัง รักษาสิวฝ้า ซึ่งใช้ได้ผลดีและเป็นที่นิยมของผู้บริโภค

  • ฤดูฝนนี้ เมื่อได้ลิ้มรสของเนื้อในของมังคุดอย่างอิ่มเอมแล้ว ก็อย่าได้ทิ้งขว้างเปลือกมังคุดให้เป็นขยะเน่าเหม็นโดยเปล่าประโยชน์เลย รวบรวมแล้วตากให้แห้งสนิทเก็บใส่ขวดโหล ไว้ใช้ทำยาแก้ท้องเสีย ยารักษาแผล ยารักษาโรคผิวหนัง หรือแม้แต่นำไปทำสบู่เปลือกมังคุดสำหรับอาบน้ำดับกลิ่นตัว ก็จะเพิ่มค่าอีกมากโข คุ้มเกินคุ้มกว่าราคากิโลละ 25-30 บาทที่เราซื้อมาเสียอีก หากเผลอไผทิ้งขว้างไป เมื่อผ่านพ้นฤดูของมังคุดไปก็จะหามังคุดอีกไม่ได้ จะมาเสียดายภายหลัง ต้องรอถึงฝนหน้าจึงจะได้ยลโฉมราชินีของผลไม้อีกที

     

  • เรียบเรียงและค้นคว้าโดย นพ.จรัสพล รินทระ........................31 May,2006 เอกสารอ้างอิง. "สมุนไพรน่ารู้" วันดี กฤษณพันธ์ สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2541 "สุขภาพดีด้วยสมุนไพรใกล้ตัว (9)" โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง สำนักพิมพ์ ประพันธ์สาส์น กรกฏาคม 2541 "รู้คุณรู้โทษโภชนาการ " นิตยสารรีดเดอร์ ไดเจสท์ สำนักพิมพ์ รีดเดอร์ส ไดเจสท์( ประเทศไทย) จำกัด กันยายน 2543

     

    ที่มา : http://www.blogth.com/blog/Financial/Agriculture/5785.html

     

    เพิ่มเติมเกี่ยวกับมังคุดค่ะ

    - มังคุด: เรื่องน่ารู้และประโยชน์ใช้สอย

    - ข้อมูลพื้นฐานในการเพาะปลูกมังคุด

    - ประโยชน์ของมังคุดทางการแพทย์

    ประโยชน์ของสับปะรด

    21/5/51 |

    ใครที่ชอบรับประทานสับปะรด ทราบหรือไม่ว่า สับปะรดนั้นมีประโยชน์อย่างไร วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

    สับปะรด เป็นพืชที่รสชาติดี ใช้กินเป็นผลไม้ หรือปรุงเป็นอาหาร ส่วนมากนิยมนำไปแปรรูปทำเป็นสับปะรดกระป๋อง และสับปะรดกวน ส่วนใบมีเส้นใยยาวเหนียว สามารถนำไปทำเป็นเชือก หรือทำเป็นกระดาษ สับปะรดมีรสหวานฝาดเล็กน้อย

    สารอาหารที่อยู่ในสับปะรดมีประโยชน์จำนวนมาก และมีคุณค่าทางยาสูง มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารจำพวกเนื้อ เสริมการดูดซึมอาหาร ดับร้อนแก้กระหาย สับปะรดยังมีสารจำพวก น้ำตาล กรด วิตามิน อยู่หลายชนิด

    การรับประทานสับปะรดเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรค ไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง หลอดลมอักเสบ สับปะรดที่เริ่มนิ่ม มีน้ำเหนียวๆ ไหลออกมา แสดงว่าสุกมากเกินไปและเริ่มเน่า ไม่ควรรับประทาน

    การรับประทานที่ถูกวิธี คือ ใช้มีดใหญ่เฉือนเปลือกออกจนหมด จากนั้นจึงใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียง เป็นแถวๆ เอาส่วนตาออกแล้วตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือแกงทาให้ทั่วหรือมิฉะนั้นก็แช่ในน้ำเกลืออ่อนๆ ประมาณ 2-3 นาที การทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid และเอ็มไซม์บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้หลังรับประทาน

    หลายประเทศมีการสกัดเอนไซม์บรอมีเลนจากสับปะรดไปใช้ เพื่อช่วยให้แผลผ่าตัดทุเลาเร็วขึ้น รวมทั้งลดอาการอักเสบ แผลบวมหรืออาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา รวมทั้งมีการทดลองใช้บรรเทาอาการอักเสบจากริดสีดวงทวาร อาการเกี่ยวกับเส้นเลือดดำ โรคกระดูก และข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เก๊าท์ และอาการปวดประจำเดือน
    นอกจากนี้มีงานวิจัยที่พบด้วยว่า ด้วยฤทธิ์ย่อยโปรตีนอย่างเป็นธรรมชาติของบลอมีเลนนี่เอง ที่ทำให้เมื่อบรอมีเลนดูดซึมเข้ากระแสเลือดอาจช่วยลดการเกาะกันเป็นลิ่มเลือดของเกล็ดเลือดในหลอดเลือดแดง ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกหลายชนิด

     

    ที่มา: http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=4583.msg35089

    นักวิทย์เมืองปลาดิบเชื่อ สารสกัดสาหร่ายอาจใช้ต้านเอดส์

    นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าสารสกัดจากสาหร่ายที่ขึ้นในน่านน้ำของญี่ปุ่น จะนำมาทำเป็นยารักษาไข้หวัดบางประเภทได้

    บีบีซีนิวส์ – นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าสารสกัดจากสาหร่ายที่ขึ้นในน่านน้ำของญี่ปุ่น จะนำมาทำเป็นยารักษาไข้หวัดบางประเภทได้ อีกทั้งยังเชื่ออีกว่าอาจจะสามารถพัฒนาไปใช้เป็นยาต้านโรคเอดส์และโรคอื่นๆได้อีกเช่นกัน
    จากการทดลองประสิทธิภาพของสาหร่ายทะเลในห้องทดลอง นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นจากมหาวิทยาลัยซากะเชื่อว่าสารสกัดจากสาหร่ายบางชนิดที่ขึ้นอยู่ในทะเลชายฝั่งของญี่ปุ่นนั้น จะนำมาทำเป็นยารักษาไข้หวัดได้ดีกว่ายาตำรับปัจจุบันที่ใช้กันอยู่ทั่วไป นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ยังเชื่ออีกกว่าสารสกัดดังกล่าวอาจนำมาใช้เป็นยาต้านโรคเอดส์ได้อีกด้วย
    นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้สกัดเอาสารสกัดเอ็มซี 26 ออกจากสาหร่ายทะเลที่ขึ้นตามชายฝั่งน้ำตื้นของทะเลญี่ปุ่น แล้วนำสารสกัดดังกล่าวมาทดลองกับเซลส์ของสัตว์และปลาพบว่าสารสกัดดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการต่อต้านเชื้อไวรัส อินฟลูเอ็นซ่าโดยให้ผลเท่ากับการทานยาอมาตาดีน ไฮโดรคลอไรด์ที่ใช้รักษาไข้หวัดทั่วไปถึงสามเท่า นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อร่างกายน้อยกว่ายาปกติอีกด้วย
    ผศ. ยูโตะ กาเมอิ ประจำสถาบันเทคโนโลยีชีวภาพทางทะเลและหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยในครั้งนี้ เปิดเผยว่า “ผลการทดลองในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เอ็มซี 26 ส่งผลกระทบต่อร่างกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับยาอมานตาดีน”
    กาเมอิเชื่อว่าการค้นพบในครั้งนี้จะสามารถพัฒนาไปเป็นยาตัวใหม่ที่ใช้รักษาโรคไข้หวัดได้ และนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ยังวางแผนเพื่อพัฒนาสารสกัดจากสาหร่ายทะเลตัวนี้ ไปใช้ในการรักษาโรคเอดสด์รวมทั้งโรคอื่นๆเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้เขายังเชื่อว่าหากยาต้านโรคไข้หวัดนี้วางตลาดจะเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างแน่นอน
    ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยอื่นๆที่ได้ศึกษาประสิทธิภาพของสาหร่ายมาก่อนแล้ว โดยในปี 1998 นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้ค้นพบว่าโปรตีนในสาหร่ายใช้รักษาโรคมะเร็งได้ และนักวิจัยชาวสหรัฐฯได้ค้นพบว่าเจลที่ทำจากสาหร่ายสีแดงชนิดหนึ่งที่ขึ้นตามชายฝั่งโนวา สโกเทียและชายฝั่งประเทศชิลีสามารถใช้ป้องกันการติดต่อของโรคเอดส์ได้

     

    ชมรมแพทย์ชนบท - นักวิทย์เมืองปลาดิบเชื่อ สารสกัดสาหร่ายอาจใช้ต้านเอดส์

    น้ำนมข้าวยาคู

    25/4/51 |

    เป็นเครื่องดื่มที่มีอายุกว่า 2,000 ปี

    น้ำนมข้าวยาคู  หรือ  น้ำข้าวยาคู  มาจากภาษาบาลี  ว่า  ยาคู  แปลว่า  ข้าวต้ม  มีตำนานทางพระพุทธศาสนาเล่ากันว่า  สาเหตุที่พระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุพระธรรมก่อนภิกษุรูปอื่น  เพราะเมื่อชาติที่แล้วท่านเกิดเป็นชาวนาชื่อจุลการ เมื่อข้าวตั้งท้องออกรวง ท่านต้องการนำเมล็ดข้าวมาทำน้ำนมข้าวถวายพระพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  "วิปัสสี"  แต่พี่ชายของท่านไม่ยอม    ท่านจึงขอแบ่งที่นาและนำเมล็ดข้าวมาทำน้ำนมข้าวยาคู    ก่อนถวายแด่พระพุทธเจ้า  ท่านได้อธิษฐานว่า  ขอให้ได้เกิดในบวรพุทธศาสนา  และบรรลุพระธรรมก่อนผู้อื่น

    ข้าวยาคู คือ รวงข้าวอ่อน ระยะเป็นน้ำนม ซึ่งข้าวเจ้าทุกพันธุ์สามารถนำมาทำน้ำนมข้าวยาคูได้ แต่ถ้าจะให้ดีควรเป็นข้าวหอมมะลิเพราะจะเพิ่มความหอมน่ารับประทาน และในน้ำนมข้าวยาคูอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตแหล่งของพลังงาน  วิตามิน  บี  1  ป้องกันโรคเหน็บชา  วิตามิน  บี  2  ป้องกันโรคปากนกกระจอก  วิตามินอีช่วยชะลอวัย  แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก  กลูโคสควบคุมการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ  และไฟเบอร์ช่วยล้างลำไส้ ซึ่งเป็นกากใยอาหารที่คอยดูดซับไขมัน ทำให้ไม่อ้วนด้วยค่ะ

    วิธีทำน้ำนมข้าวยาคู

    ส่วนผสม:

    1.  รวงข้าวอ่อน  (ข้าวเจ้าหอมมะลิ) 2 ถ้วยตวง

    2.  น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง

    3.  ใบเตยหั่นละเอียด 1/2 ถ้วยตวง

    4.  ถั่วเหลือง 2 ถ้วยตวง

    5.  น้ำสะอาดพอประมาณ

    วิธีทำ:

    1.  นำรวงข้าวอ่อนผสมน้ำสะอาดปั่นจนละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำนมข้าว

    2.  นำถั่วเหลืองแช่น้ำ 1 ชั่วโมง แล้วผสมน้ำสะอาดปั่นจนละเอียด กรองเอาแต่น้ำนมถั่วเหลือง

    3.  นำใบเตยหั่นละเอียดผสมน้ำเล็กน้อย ปั่นจนละเอียดกรองเอาแต่น้ำใบเตย

    4.  นำน้ำนมถั่วเหลืองตั้งไฟ เคี่ยวให้ข้น ใส่น้ำนมข้าว คนเรื่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายคนให้น้ำตาลละลายและข้น จึงใส่น้ำใบเตยต้มจนเดือด

    5.  ยกขึ้นจากเตา ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วบรรจุขวดนำไปจำหน่าย

     

    ที่มา :

    เมล็ดข้าวอุดมด้วยสารอาหารมากมาย แต่จะกระจุกตัวอยู่ที่จมูกข้าว และ รำข้าว เท่านั้น ส่วนเนื้อเมล็ดข้าวสีขาวนั้น เกือบทั้งหมดเป็นแป้งและน้ำตาลเท่านั้น  ดังนั้น  คนโบราณที่กินข้าวกล้อง หรือ ข้าวซ้อมมือ ซึ่งเป็นข้าวที่มีจมูกข้าวและรำข้าวติดอยู่ จึงมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคอัมพฤกษ์ โรคเก๊าท์ ฯลฯ เหมือนอย่างคนในสมัยปัจจุบัน

    ปลายข้าวเป็นผลพลอยได้จากการสีข้าวซึ่งจะได้ส่วนที่เป็นปลายข้าวประมาณ 15% ปลายข้าวจัดได้ว่าเป็นส่วนที่ให้พลังงานที่มีความสำคัญยิ่ง ซึ่งมีองค์ประกอบของโปรตีน 8% มีไขมันและเส้นใยต่ำ เก็บไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืน

    เป็นแหล่งวิตามินอีที่สำคัญ

    เชื่อไหมว่า แหล่งที่คุณอาจได้รับวิตามินอีกมากที่สุดคือ ข้าวที่เรากินวันละสามมื้อนี่เอง วิตามินอีมีอยู่มากในเยื่อหุ้มผิวชั้นใน และจมูกของเมล็ดข้าว

    รำข้าวบรรเทาท้องผูก

    ศููนย์โภชนาการของมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ในอังกฤษได้ทดสอบประสิทธิภาพของรำข้าว พบว่า แม้การทานรำข้าวหรือข้าวซ้อมมือวันละเล็กละน้อย ก็สามารถช่วยผู้ป่วยท้องผูกด้วยสาเหตุธรรมดา ทำให้อุจจาระนุ่ม ถ่ายง่ายขึ้นถึงร้อยละ 60 จึงแสดงให้เห็นว่า ปัญหาท้องผูกในคนส่วนใหญ่ เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีกากน้อยนั่นเอง

    คุณค่าทางโภชนาการในน้ำมันรำข้าวจมูกข้าว

    1. Gamma-Oryzanol  มีประสิทธิภาพในการลดระดับคอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ ทั้งในเลือดและในอวัยวะต่างๆ ทำให้หลอดเลือดไม่มีไขมันอุดตัน เลือดจีงไปหล่อเลี้ยงหัวใจ สมอง และส่วนต่างๆ ของร่างกายได้สะดวก ทำให้ไม่เป็นโรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคอัมพฤกษ์ และโรคชาตามมือตามเท้า รวมทั้งโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศในชายและหญิงด้วย

    2. Tocol Group ได้แก่ Toco - pherol และ Toco-trienol เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้ และยังช่วยลดคอเลสเตอรอลที่อุดตันในเส้นเลือด ในกลุ่มเส้นเลือดไปเลี้ยงไต ซึ่งจะมีผลทำให้กลุ่มฮอร์โมน กลูโคสเตียรอย มินเนอโรสเตียรอย แอนโดรสเตียโรล ทำงานได้ตามปกติ ซึ่งจะมีผลทำให้ร่างกายลดการสลายคลูโคสจากกล้ามเนื้อ ไกลโคเจนจากตับ กลูโคสจากเนื้อเยื่อไขมัน ทำให้ความเป็นพิษในเลือดลดลง เนื่องจากยูเรีย ยูริก กรดไขมันในเลือดลดลง ลดเลือดคั่งตามเท้า

    3. Phospholipid Group ได้แก่ Lecithin, Lyso-lecithin และ Cephalin มีประสิทธิภาพในการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ในระบบประสาท ทำให้ความจำดีอยู่เสมอ

    4. Free Fatty Acid ได้แก่ Linoleic Acid หรือ โอเมก้า 6 มีผลต่อระบบผิวหนังและระบบสืบพันธุ์ และ Linolenic Acid หรือโอเมก้า 3 มีผลต่อระบบประสาทและสมอง และยังมีโอเมก้า 9 ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดด้วย(จมูกข้าวเป็นพืชชนิดเดียวในโลกที่มีทั้งโอเมก้า 3 โอเมก้า 6 โอเมก้า 9 อยู่ด้วยกันในสัดส่วน 1:2:1)

    5. Ceramide เป็นส่วนประกอบของชั้นใต้ผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล  ขาวผุดผ่องปราศจากริ้วรอยเหี่ยวย่น

    6. Melatonin ช่วยคลายเครียด และทำให้นอนหลับสนิท หลับสบาย

    7. วิตามินบีรวม (B-complex) ทำให้การใช้พลังงานจากการสลายตัวของแป้งและน้ำตาลดีขึ้น ช่วยระบบประสาททั่วร่างกาย

    8. โปรตีน ช่วยในการเสริมสร้างส่วนต่างๆ ในร่างกาย

    9. แร่ธาตุสำคัญๆ ที่อยู่ใน น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว เช่น แคลเซี่ยม เหล็ก โปตัสเซี่ยม เซเลเนี่ยม สังกะสี แมงกานีส โครเมี่ยม  และโปรตีน(จากพืช) เป็นต้น

    10. กลุ่มวิตามินที่สำคัญ เช่น วิตามิน A  วิตามิน Bรวม  วิตามิน D  วิตามิน E  และวิตามิน K นอกจากนี้ ยังมีสารอาหารสำคัญที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย คือ สาร เซเลเนี่ยม   อีกด้วยโดยเฉพาะผู้ติดเชื้อ HIV จะได้ประโยชน์จากสารอาหารตัวนี้เป็นพิเศษ

    ประโยชน์ของจมูกข้าว

    จมูกข้าวและรำข้าวที่ถูกขัดสีทิ้ง เป็นส่วนที่มีสารอาหารต่างๆ มากมาย หากรับประทานสม่ำเสมอ จะให้ประโยชน์กับร่างกาย ดังนี้

    1. ลดคอเลสเตอรอล และ ไตรกรีเซอร์ไรด์

    2. ป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกิดจากหลอดเลือดตีบตัน

    3. บำรุงสมอง บำรุงระบบประสาท

    4. ป้องกันโรคมะเร็ง

    5. บำรุงผิวพรรณให้ผ่องใส และ ชะลอความแก่

    6. ควบคุมความสมดุลของระดับฮอร์โมนในร่างกาย

    7. ป้องกันโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศทั้งชายและหญิง

    8. บำรุงดวงตา  สายตา  ให้แจ่มใส ใช้งานได้ดีอยู่เสมอ

    9. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

    10. หลับสนิท จิตใจเบิกบาน

    อ่านรายละเอียดได้ ที่นี่

    ที่มา:

    เพิ่มเติม :

    วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากปลายข้าวครบวงจร

    (22 May 2007)

    สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  เพิ่มมูลค่า “ปลายข้าว” ครบวงจรสู่การวิจัยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ “แคลซูลยา น้ำมันสลัดไร้ไขมัน  ​และเครื่องดื่มเสริมสุขภาพ”  สร้างทางเลือก​ใหม่แก่ผู้บริโภคหวังช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารไทย....อ่านต่อ

    ก่อนตั้งครรภ์ 3 เดือนอาจจะเริ่มทานกรดโฟลิค (FOLIC ACID) หรือ โฟเลต (FOLATE) วันละ 400 ไมโครกรัม และทานต่อไปจนกระทั่งอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ (หลังจากนั้นจะทานต่อก็ได้เพราะไม่สะสมเพราะเป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ แต่ก็ไม่ได้เอื้อประโยชน์) ทั้งนี้เพื่อป้องกันความผิดปกติของการสร้างระบบประสาท สมองและไขสันหลังของทารกในครรภ์ ได้แก่ภาวะหลอดประสาทเปิด (Neural Tube defect หรือ NTD) ภาวะไร้สมอง (Anencephaly) กระดูกไขสันหลังปิดไม่สนิท (Spina bifida) ค่ะ

    นอกจากนี้กรดโฟลิค มีหน้าที่ใน การสร้างเม็ดเลือดแดงมีความจำเป็นสำหรับการสร้าง สารพันธุกรรม (DNA) การเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ ของร่างกาย และโฟเลตยังเป็นตัวสร้างสารสีแดงในเม็ดเลือดหรือ Heme ด้วย ดังนั้นวิตามินนี้จำเป็นต่อทั้งแม่และทารกในครรภ์ การขาดโฟเลตในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้เกิดผลเสียแก่แม่ได้ คือ เกิดโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ (Megaloblastic Anemia)

    สำหรับแหล่งธรรมชาติ โฟเลตพบได้ในผักใบเขียว ตับ ถั่ว มันฝรั่ง ฯลฯ แต่โฟเลตถูกทำลายได้ง่ายโดยความร้อน ดังนั้นเวลา ปรุงอาหารที่มีโฟเลต ต้องหาวิธีทำให้สุกโดยเร็วเพราะ ความร้อนอาจทำลายโฟเลตได้มากถึงร้อยละ 80-90 นอกจากนี้ยาบางชนิดเช่น ยาคุมกำเนิด ยากันชัก ยารักษาเนื้องอกหรือมะเร็งบางชนิดจะทำให้การดูดซึมโฟเลตเป็นไปไ ด้น้อยลงค่ะ

    และเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์แล้วก็เข้ารับการฝากครรภ์และพยายามรักษาสุขภาพมากๆ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก พยายามไม่เครียด ยกเว้นการยกของหนักหรือออกกำลังกายที่หนักๆ พยายามทานอาหารที่ปรุงสุก สะอาด และมีประโยชน์ โดยเฉพาะนมและปลา (ถ้าไม่ชอบนมอาจจะทานโยเกิร์ต หรือชีสแทนก็ได้ค่ะ)

    ส่วนที่ทานเสริมก็มีดังนี้ค่ะ

    · แคลเซียม ถ้าทานนมไม่ได้ก็อาจจะทานแคลเซียมเสริมวันละ 1000 มิลลิกรัม ส่วนอาหารที่มีแคลเซียมสูง อื่นๆได้แก่ งาดำ กุ้งตัวเล็ก กะปิ เนย ปลาตัวเล็กๆรับประทานทั้งกระดูก แครอท แต่เวลาจะซื้อแคลเซียมมาใช้ ต้องดูให้ดีๆเกี่ยวกับปริมาณของธาตุแคลเซียมในเม็ด เพราะส่วนใหญ่ใน สลากยามักแจ้งปริมาณของสารประกอบแคลเซียมต่อเม็ด ไม่ใช่ปริมาณของธาตุแคลเซียมต่อเม็ด เช่น สลาก บอกว่าเป็น "แคลเซียมคาร์บอเน็ต" 1,000 มิลลิกรัม ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ธาตุแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัม โดยต้องคำนวณก่อนว่า "แคลเซียมคาร์บอเน็ต" 100 มิลลิกรัม จะให้ธาตุแคลเซียม 40 มิลลิกรัม ดังนั้น ในกรณีนี้เม็ดยาจะมีธาตุแคลเซียมเพียง 400 มิลลิกรัม เท่านั้นค่ะ

    · วิตามินดี เนื่องจากแคลเซียมเป็นธาตุที่ละลายและถูกดูดซึมได้ยาก เพื่อที่จะให้การดูดซึมที่ลำไส้เล็กดีขึ้นต้องอาศัยวิตามินดีเป ็นตัวช่วยสร้างโปรตีนที่จับแคลเซียมเพื่อนำไปสู่ส่วนต่างๆของร่ างกาย วิตามินดี ที่ได้จากอาหารมีปริมาณน้อยมากแต่ร่างกายสังเคราะห์ ได้ที่ผิวหนังเมื่อได้รับจากแสงแดดที่เหมาะสม โดยออกไปในแสงแดดอ่อนในช่วงเช้า ๆ ไม่เกิน 09.00 น. หรือ ในช่วงเย็นหลัง 16.00 น. เพียง 10 – 15 นาที สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้งก็พอ ส่วนอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินดีได้แก่ ไข่แดง ปลาที่มีไขมัน ตับ นม หรืออาหารเช้าซีเรียลที่เพิ่มวิตามิน

    · ธาตุเหล็ก ควรทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว (ยกเว้นถั่วลิสง) และดื่มน้ำส้มระหว่างที่ทานอาหารเพราะวิตามินซีจะช่วยเพิ่มการด ูดซึมของธาตุเหล็กจากอาหารให้ดีขึ้น ((แต่ในช่วงที่ฝากครรภ์คุณหมอจะเช็คความเข้มข้นของเลือดเป็นระย ะๆอยู่แล้วล่ะค่ะ ซึ่งถ้าซีดคุณหมอก็จะให้ Iron supplement แต่มักจะไม่ให้ในช่วงที่มีอาการแพ้ท้อง เพราะจะทำให้อาการแพ้ท้องเป็นมากขึ้น)) และถ้ามีอาการแพ้มาก อาจจะทานวิตามิน B6 วันละ 50 มิลลิกรัม จะช่วยให้อาการแพ้ท้องดีขึ้นได้ค่ะ

    นอกจากนั้นทานผักผลไม้เยอะๆเพราะเป็นแหล่งของวิตามินและเกลือแร ่ที่สำคัญ รวมทั้งไฟเบอร์ อย่าลืมดื่มน้ำมากๆ วันละ 1.5 - 2 ลิตรนะคะ

    ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงก็มี

    · เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาแฟอีน เช่น ชา กาแฟ โค๊ก เป๊ปซี่ ฯลฯ

    · เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

    · ตับ เนื่องจากเป็นแหล่งของวิตามินเอ ซึ่งวิตามินเอขนาดสูงๆจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ((แต่ถ้าวิตามินเอจากพืช อย่างมะละกอ ผักบุ้ง แครอท ปลอดภัยและทานได้ตามปกติค่ะ))

    · ชีสบางชนิด พวก Mould-rippened soft cheese เช่น Brie , Camembert , blue-veined cheese ซึ่งทำมาจากนมที่ไม่ pasteurised เสี่ยงต่อการติดเชื้อ Listeria

    · ถั่วลิสงและผลิตภัณฑ์จากถั่วลิสง โดยเฉพาะถ้ามีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัว

    · หลีกเลี่ยงการทาน ปลาทูน่า , shark , ปลาปากแหลม(sword fish) ,ปลาทะเลขนาดใหญ่จำพวก marlin ในปริมาณมาก เพราะมีสารปรอทค่อนข้างสูง

     

    ที่มา: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pojung&month=07-2005&date=20&group=5&gblog=4

    ตัวอย่างสูตร

    1. น้ำสับปะรดมิลค์เชก
    2. น้ำกล้วยหอมผสมเนยถั่ว
    3. น้ำสตรอเบอร์ร่ราตรีสวัสดิ์
    4. น้ำมะม่วงผสสับปะรดน้ำกล้วยหอมกลิ่นอบเชย
    5. น้ำกล้วยหอมผสมลูกพรุน
    6. น้ำแครอทผสมกล้วยหอม
    7. น้ำมะพร้าวอ่อนผสมมะละกอ
    8. น้ำข้าวดพดและมะพร้าวอ่อน
    9. น้ำมะปรางกลิ่นมะนาว
    10. น้ำแตงโมข้าวโพดหวาน

    ที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างสูตรคร่าวๆ ใครสนใจก็ไปหาอ่านสูตรทั้งหมดได้ในหนังสือ "น้ำผัก-ผลไม้ ล้าพิษ เพื่อความสดใส-สุขภาพดี" ของ คุณอภิสิทธิ์ วรจิตรสกุล

    To get more out of your next cup of tea, just add juice.

    A study found that citrus juices enable more of green tea's unique antioxidants to remain after simulated digestion, making the pairing even healthier than previously thought.

    The study compared the effect of various beverage additives on catechins, naturally occurring antioxidants found in tea. Results suggest that complementing green tea with either citrus juices or vitamin C likely increases the amount of catechins available for the body to absorb.

     

    .....Catechins (pronounced KA'-teh-kins), display health-promoting qualities and may be responsible for some of green tea's reported health benefits, like reduced risk of cancer, heart attack and stroke. The problem, Ferruzzi said, is that catechins are relatively unstable in non-acidic environments, such as the intestines, and less than 20 percent of the total remains after digestion.

     

    Citrus Juice, Vitamin C Give Staying Power To Green Tea Antioxidants

    ScienceDaily (Apr. 10, 2008)

     

    Increased consumption of teas rich in catechins is associated with reduced risk of stomach, colon and other gastrointestinal cancers. However, the effects of digestion on the anticancer activity of tea catechins have largely been ignored. A study by nutrition researchers at The Ohio State University and Purdue University found that the digestive process could both alter the structure of the tea catechins and their anticancer activity.

     

    Digestive Process Affects Anti-cancer Activity Of Tea In Gastrointestinal Cells

    ScienceDaily (Apr. 8, 2008)

     

    Both the reishi mushroom (Ganoderma lucidum; Lingzhi) and green tea have long held a place in traditional medicine in China and other Asian countries, for the general promotion of health and long life and for the treatment of specific diseases. More recent scientific studies have confirmed that both enhance the body¹s immune functions and hold the potential for treatment and prevention of many types of cancer.

     

    Reishi grows in damp, sunless mountain areas and was once a rare commodity. Today Reishi, like green tea polyphenols, is manufactured as an extract. Zhang and her colleagues examined products sold as ReishiMax and Tegreen, made by Utah-based Nu Skin Enterprises. ReishiMax contains high concentrations of the active components in the mushroom itself and cracked spores of the mushroom, including polysaccharides (13.5 percent) and triterpenes (6 percent), and Tegreen is almost completely (98-99 percent) made of tea polyphenols.

     

    Extracts From Reishi Mushroom And Green Tea Shows Synergistic Effect To Slow Sarcoma

    2/13/2008 

    Buffalo, NY - More than ever before, consumers are health-conscious and functional food savvy. Supermarkets are responding by stocking their shelves to meet consumer demand for food products that provide health benefits beyond basic nutrition. Food retailers and manufacturers who aren't responding to this trend for good nutrition and health may find their customers shopping elsewhere and purchasing their competitor's products. Consumers also are gravitating toward less processed food and drink, making them more likely to go for cheese fortified with calcium and vitamin D than, say, soda laced with vitamins.

    ....

    The benefits of calcium and vitamin D to bone health during childhood and adolescence are now well known. Bones will never grow as fast or as strong, and reaching peak bone mass during this period of the life cycle is key to preventing debilitating fractures and breaks later in life. While it's important to stockpile as much bone mass as possible during this period, it's never too late to improve bone health. Adults, both male and female, should be actively working towards stronger bones, especially after age 50. The average peak bone mass is reached around age 30, with a sharp decline beginning mid- life....

     

    Precious Cheese Offers New Precious +Plus String Cheese in

     

    New York, NY - Recently, Italica Imports is introducing the country to an extra virgin olive oil from Spain that is enriched with fat-soluble vitamins A, D and E, making it a rich source of antioxidants.

    Italica PLUS Extra Virgin Olive Oil (Italica PLUS) is the first Spanish extra virgin olive oil enriched with vitamins. While all olive oil promotes better health, Italica PLUS delivers even greater nutritional benefits with three vital vitamins. Use of Italica PLUS in your favorite recipes can help promote a stronger immune system, better circulation, strong bones and healthy teeth, and lower blood pressure and cholesterol.......

     

    Italica Imports Unveils A New Extra Virgin Olive Oil Enriched

    Chandler, AZ - You may have heard the sweet news that dark chocolate contains a high amount of good-for-you antioxidants. Now Isagenix, the world leader in nutritional cleansing, has improved nature's most delicious superfood with IsaDelight**.

    This powerful new treat is packed with feel-good vitamins, minerals and a unique blend of amino acids. IsaDelight enhances the health benefits of chocolate and helps to lift mood*, promote brain and heart health*, improve energy and satisfy cravings.*

    "Isagenix is the first company to come out with a tasty chocolate supplement fortified with brain-healthy* nutrients," says Paul Anderson, M.D., D.A.P.M. and a developer of IsaDelight. "It gives our brain the nutrients it needs and helps to elevate mood and curb food cravings.*" ..............

    Health Benefits Of Chocolate Even Sweeter With IsaDelight