จากรายงานการวิจัยของคณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอนของสหรัฐฯ ทำการศึกษาวิจัยด้วยการตรวจสอบถึงภาวะอารมณ์และจิตใจของอาสาสมัครผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี 334 คนก่อน แล้วจึงพ่นเชื้อไวรัสหวัดเข้าไปในจมูก เพื่อให้ป่วยเป็นหวัด หลังจากนั้นจึงคอยศึกษาอาการและปฏิกิริยาของแต่ละคน ดูว่าคนไหนจะเจ็บป่วยและแสดงกิริยาอาการออกมากันอย่างใดบ้าง ??

พบว่า ผู้ที่รู้สึกว่ามีความสุข มีความกระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่า มักไม่ค่อยจะเป็นหวัด ผิดกับผู้ที่มีอารมณ์ซึกเศร้า หรือ ตื่นเต้นได้ง่าย โมโหฉุนเฉียวเก่ง คนเหล่านี้ยังมักรำพันถึงแต่ความเจ็บไข้ของตนต่าง ๆ นานาอยู่เสมอ

ศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยา ดร.เซลดอน โคเฮน หัวหน้าคณะวิจัย กล่าวอธิบายว่า อารมณ์และจิตใจของคนเรา มีผลต่อสุขภาพของเราด้วย กล่าวง่าย ๆ ได้ว่า... เมื่อสมองของเรารู้สึกเป็นสุข มันก็จะส่งสารบอกไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของเราด้วย เป็นเหตุให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง.. มันเหมือนกับสภาพอารมณ์และจิตใจของเรามีอำนาจเหมือนกับยา บันดาลด้วยฮอร์โมน และระบบประสาทให้ร่างกายเข้มแข็งหรืออ่อนแอได้

ด้านนักจิตวิทยาของไทย ดร.วัลลภ ปิยมโนธรรม หัวหน้าศูนย์ให้คำปรึกษา (สุขภาพจิต) มศว.ประสานมิตร เปิดเผยว่า " การหัวเราะเป็นการบำบัดโรคอย่างหนึ่ง การหัวเราะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดฟิลซึ่งเป็นสารแห่งความสุข มีผลให้เส้น ประสาท เลือดลมในร่างกายหมุนเวียนดี เป็นการป้องกันและรักษาโรคไปในตัว คนเราควรหัวเราะวันละ 5 นาทีเป็นอย่างต่ำ ในต่างประเทศทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป มีการตั้งชมรมหัวเราะขึ้นกว่าหมื่นชมรมแล้ว "

และจากการวิจัยของสถาบันหลายแห่ง พบว่า การหัวเราะสามารถบำบัดโรคได้จริง เช่น โรคมะเร็งระยะที่ 1 และ 2 ที่ต้องมีการให้ยารักษาควบคู่กับการหัวเราะ โรคเบาหวาน โรคนอนไม่หลับ ภูมิแพ้ โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ และอาหาร เป็นต้น

ดร.วัลลภ กล่าวเสริมว่า.... ในปัจจุบันคนเราลืมหัวเราะ เนื่องจากเครียดจากการทำงาน ทำให้หน้าตาไม่แจ่มใส ขณะเดียวกันหลายคนเข้าใจผิดคิดว่า การยิ้มกับการหัวเราะเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วพฤติกรรมทั้งสองอย่าง มีความแตกต่างกัน.. คนเราหากเครียดมากมีโอกาสเป็นโรคหัวใจ อัลไซเมอร์ และโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจและอาหารได้

ที่มา : www.siamca.com