คนเรานั้นจะมีกรอบความคิดในใจ (Frame of Mind) เวลาที่เรามีกรอบความคิดในใจเชิงลบ (Negative Frame of Mind) จะดูดพลังงานของเราไป
ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่คนเราโกรธแค้นใคร กระบวนการทางอารมณ์ก็จะมีการออกแบบการตอบโต้ ซึ่งก็จะทำให้เกิดความรู้สึกหมกมุ่น ไม่สามารถทำงานได้ สิ่งที่จะทำก็มีแต่พฤติกรรมเชิงลบ
เวลาที่มีการล้างแค้นนั้น สุดท้ายก็จะเกิด Negative Sum Game เพราะเมื่อคนหนึ่งแค้น และได้แก้แค้น คนที่ถูกแก้แค้น ก็จะกลับมาล้างแค้นอีก เป็นวัฎจักรอย่างนี้ไปตลอด มีแต่เสียกับเสีย
พลังงานที่ควรจะถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ก็จะไม่ได้ใช้
การที่เราคิดเชิงลบนั้น ไม่เพียงแต่จะดูดพลังงานของเราแค่คนเดียวเท่านั้น แต่คนที่รอบข้างเราก็จะโดนดูดพลังงานไปด้วย
เสียงจากภายใน
คณเคยรู้สึกหรือไม่ว่าภายในตัวของท่านมีเสียงจากข้างใน (Inner Voice) อยู่ ถ้าจะทำอะไรสักอย่างจะมีทั้งเสียงที่ดี และไม่ดี อยู่ข้างใน เสมือนมีซาตาน กับปิศาจทะเลาะกันอยู่ข้างในหัว ซึ่งจะมีแต่ตัวเราเท่านั้นที่จะได้ยิน
เสียงที่อยู่ข้างในนั้นมาจากความคิดของเรา ซึ่งจะบอกให้เราประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา
เสียงที่อยู่ภายในของเรา ที่บอกเราให้ทำอย่างโน้น อย่างนี้ นั้นมาจากจิตของเรา ถ้าเราจิตดี เราจะคิดดี แต่ถ้าเราจิตร้าย จิตประสงค์ร้าย เราก็จะคิดเลว
อย่างที่บอกไปว่า 25% มาจาก DNA ของพ่อแม่ อีกประมาณ 30% มาจากสภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมที่สำคัญที่สุดก็คือ “คน” ที่อยู่แวดล้อมคุณ
ตอนที่เรายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อายุประมาณสัก 7-8 ขวบ ก็ทำตามเสียงภายในของตัวเองแล้ว
และสภาพแวดล้อมจากพ่อแม่ หรือเพื่อน ครู อาจารย์ ฯลฯ ก็จะสามารถค่อยๆ ปรับเสียงในตัว และพัฒนาไปสู่การปรับจิต และเมื่อถึงเวลานั้น จิตก็จะมาสั่งเสียงในตัวอีกทีหนึ่ง
เสียงภายในของเราจะพัฒนาในลักษณะของการอธิบาย ว่าดี หรือไม่ดี ประสบการณ์ก็จะช่วยในการอธิบาย และหากยิ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ่ำๆ เสียงภายในก็จะอธิบายได้ชัดเจนขึ้น
เหมือนกับเป็น กึ๋น ในที่สุด
คนที่ประสบความสำเร็จนั้นเขาตัดสินใจด้วยกึ๋น ซึ่งก็คือการรวมของประสบการณ์ อันมีลักษณะคล้ายกับ “เสียงภายใน”
คำถามก็คือ คุณจะฝึกเสียงภายในแบบมองโลกในแง่ดีอย่างที่มันเป็นได้อย่างไร?
คนที่มองโลกในแง่ดี ก็จะมีเสียงภายในแบบหนึ่ง คนที่มองโลกในแง่ร้ายก็มีเสียงภายในอีกแบบหนึ่ง คอยกำกับพฤติกรรมอยู่
เสียงภายในจะพัฒนาออกมาเป็นคำอธิบาย นั่นคือ ไม่ได้บอกเพียงแค่ ใช่ หรือ ไม่ใช่ แต่จะออกมาเป็นชุดคำอธิบาย เหมือนกับว่าเป็นหมอดูให้กับตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น เซลล์คนหนึ่งขายสินค้าไม่ได้ ถ้าหากเขามองโลกในแง่ดีก็จะมีเสียงภายในบอกว่า ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่
แต่ถ้าเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย เสียงภายในก็จะบอกให้เลิกขาย เกิดการท้อถอย
ดังนั้น เสียงในใจจะอธิบายพฤติกรรมตรงหน้า พร้อมทั้ง พยากรณ์พฤติกรรมในอนาคตของเราด้วย
ที่มา : http://thaicoon.wordpress.com/