ตังกุย

17/3/51 |

ในตำรับยาสมุนไพรจีน ตังกุย เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันดี และนิยมใช้กันอย่างมาก เช่นเดียวกับโสม ถั่งเฉ้า และเห็ดหลินจือ ตามสรรพคุณตังกุยจะได้มาจากส่วนรากของพืชวงศ์ Umbelliferae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abgelica sinensis (Oliv) Diels เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม รสหวานออกขมเล็กน้อย จัดอยู่ในกลุ่มสมุนไพรที่มีรสอุ่นกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต บำรุงโลหิต ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และแก้ปวด
โดยความนิยมแล้วถือว่า ตังกุย เป็นสมุนไพรที่ทรงคุณค่าสำหรับสตรี เนื่องจากเป็นตัวยาที่มีผลต่อมดลูกโดยตรง คือมีสรรพคุณ ในการช่วยให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ แก้ปวดประจำเดือน ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว (rheumatism) และเป็นยาระบายท้องอ่อนๆ ด้วย
มีรายงานจาการทดลองพบว่า สารสกัดจากตังกุย ในส่วนที่เป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีจุดเดือดสูง (high boiling point) ประมาณ 180 องศาเซลเซียส ถึง 210 องศาเซลเซียส จะมีคุณสมบัติด้านการบีบตัว (ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว) ของมดลูกได้ แต่สำหรับในเชิงเภสัชวิทยา แล้วจะเกิดผล 2 กรณี คือ
ประการแรกคือเมื่ออยู่ในภาวะตั้งครรภ์ มดลูกจะมีความไวต่อภาวะความกดดัน ในโพรงมดลูกสูง สารสกัดจากรากตังกุยจะมีผลต่อกล้ามเนื้อมดลูก คือ นอกจากจะลดการบีบตัวแล้ว ยังทำให้การตอบสนองต่อความกดดัน ในโพรงมดลูกน้อยลง (decreasing the myometrial sensitivity) และจะมีผลให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณมดลูกมากขึ้น โดยการขยายหลอดเลือด ผลก็คือลดโอกาสในการแท้งบุตรได้ จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมตังกุยจึงเป็นผลดีต่อสตรีที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์
ประการที่สองคือสำหรับสตรีทั่วไปและสตรีภายหลังการคลอดบุตร ตังกุยจะมีผลต่อระบบประจำเดือน คือ ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ แก้ปวดประจำเดือน ในตำรับยาจีนจะผสมตังกุยกับหัวแห้วหมู (Cyperus rotundus) โกฐจุฬาลำเภาจีน (Artemisia argyi) เปลือกลูกพรุน (Prunus persica) และดอกคำฝอย (Carthamus tinctorius) เพื่อเป็นยาช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ ถึงแม้คำอธิบายเรื่องนี้ ยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่ก็มีรายงานว่า
ในสารสกัดของตังกุยทั้งในส่วนของสารสกัดด้วยน้ำ และแอลกอฮอล์ที่ไม่ใช่เป็นสารกลุ่มน้ำมันหอมระเหย มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกได้ดี (คือ เพิ่มการบีบตัวของมดลูก) จึงนิยมใช้ตังกุยเป็นยาช่วยในการขับน้ำคาวปลา และช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น
สำหรับการรักษาอาการหลังหมดประจำเดือน มีการทดลองใช้ตังกุย ร่วมกับตัวยาอื่นอีก 5 ชนิด ในคนไข้ 43 คน พบว่าส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้น คือ อาการร้อนวูบ มึนงง ตาพร่า และอาการไม่สบายในช่องท้องจะลดลงประมาณ 70%ตังกุยมีความเป็นพิษหรือไม่โดยทั่วไปแล้ว ตังกุยก็เช่นเดียวกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ คือ ถ้าใช้ในปริมาณที่ปกติก็ไม่พบอันตรายอย่างไร แม้ในบางคน ที่ได้รับตังกุยแล้วเกิดอาการผิดปกติ เมื่อหยุดยาอาการดังกล่าวก็มักจะหายไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยเสียเลยทีเดียว ถ้าร่างกายได้รับสารมาก ส่วนจะมากเท่าใดนั้นคงยากที่จะตอบ แต่จากการทดลองในสัตว์ โดยใช้สารสกัดน้ำปริมาณ 0.3-0.9 กรัมต่อน้ำหนักตัว 10 กรัม ฉีดเข้าสู่กระเพาะ จะมีผลให้การเต้นของหัวใจช้าลง ความดันโลหิตลดลง และกดการหายใจ และเมื่อได้รับสารมากขึ้นก็จะแสดงอาการมากขึ้น แต่จวบจนปัจจุบันก็ยังไม่พบว่ามีผู้ใดได้รับอันตรายร้ายแรง จากการรับประทานตังกุยเลย
“ตังกุย” เป็นยาสำหรับสตรีเท่านั้นหรือ ผู้ชายรับประทานได้หรือไม่ถ้าดูจากสรรพคุณดั้งเดิม ที่ว่าตังกุยเป็นยาที่ใช้สำหรับ บำรุงร่างกายทั่วๆ ไป และบรรเทาอาการปวดเมื่อยต่างๆ ก็น่าจะใช้ได้ดีทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะการมุ่งหวังผล เพื่อเป็นยาบำรุงร่างกาย เพราะในรากตังกุยจะมีวิตามินบี 12 ในปริมาณที่มาก (0.25-0.4 ไมโครกรัม/100 กรัมของน้ำหนักรากแห้ง) ยังมีสารโฟลิก (Folic) และไบโอติน (Biotin) ซึ่งมีผลต่อการสร้างปริมาณเม็ดเลือด ในร่างกาย จึงนิยมใช้เป็นยาบำรุงโลหิต
ยิ่งกว่านั้นยังมีการทดลองที่พบและแสดงให้เห็นว่า สัตว์ที่ได้รับสารสกัดจากรากตังกุยจะมีขนาด และน้ำหนักของตับ และม้ามเพิ่มขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวชนิด macrophage ในการทำลายสิ่งแปลกปลอมในร่างกายได้ดีขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานของตับ ซึ่งส่งผลถึงการสร้างระบบภูมิต้านทานของร่างกายที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังมีข้อมูลค่อนข้างจำกัด คงต้องรอผลการวิจัยต่อไป
ผลต้านการอักเสบและลดการบวม โดยการทดสอบทางชีวเคมี ถึงขบวนการเกิดการอักเสบ พบว่า สารจากตังกุยสามารถขัดขวางการเกิด 5-hydroxytryptamine (5-HT) และลดการส่งผ่านของสารทางผนังเซลล์หัวใจ (coronary flow) และกระแสโลหิตที่ร่างกาย peripheral blood flow ได้โดยการทำให้หลอดเลือดขยายตัว (dilate vessel) มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ให้ความดันล่างสูงขึ้น
นอกจากรายงานทีกล่าวมาแล้ว ยังมีรายงานการวิจัย ถึงสรรพคุณของตังกุยอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมาก เช่นเป็นสารต้านการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิด+ใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง เช่น แก้อาการคัน+ใช้เป็นยาแก้หืด+ใช้เป็นยาแก้ปวด+ใช้ลดไขมันในโลหิต โดยลดการดูดซึมโคเลสเตอรอล (cholesterol) เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นการป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด , ต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือดปัจจุบัน วงการแพทย์ตะวันตกต่างหันมาสนใจ ให้ความสนใจต่อสมุนไพรมากขึ้น และยังคงมีการวิจัยศึกษา หาคุณประโยชน์ของสมุนไพรกันอย่างกว้างขวางและจริงจัง เพื่อค้นหาความลับในการรักษาและบำบัดโรคภัยต่างๆ รวมทั้งเคล็ดลับในการบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาว และมีสุขภาพดียิ่งขึ้นที่มา : FITWAY THAILAND

โสม

|


โสม Ginseng (วงศ์ Araliaceae)โสมเกาหลี โสมคน Panax ginseng C.A. Mayerโสมอเมริกัน Panax quinquefolium L.ชื่อทางพฤกษศาสตร์ของโสมมาจาก pan หมายถึงทั้งหมด ax หมายถึงการรักษาgin หมายถึงคน และ seng หมายถึงเครื่องหอมGinseng เป็นภาษาจีน แปลว่า man-root หมายถึง รากไม้ที่มีรูปร่างคล้ายคน เพราะรากจะอวบ มองดูคล้ายมีหัว แขน และขา จึงเรียกว่า “โสมคน” (man-root) โสมมีอายุหลายปี มีถิ่นกำเนิดในเกาหลี จีน โซเวียต ญี่ปุ่น อเมริกา และคานาดา เป็นพืชที่ปลูกยาก ต้องการภูมิอากาศเฉพาะ ลักษณะโดยทั่วไปของ โสมเป็นพืชโตช้า ถ้าเพาะจากเมล็ดต้องใช้เวลาถึง 5-6 ปี จึงจะใช้ได้ ในปีแรกต้น จะสูงเพียง 1 ฟุต มีใบ 1 ใบ เป็นใบประกอบมี 3-5 ใบย่อย จากนั้นจะมีใบเพิ่มขึ้นปีละ 1 ใบ ปีที่ 3 จะเริ่มออกดอก มีก้านดอกยาวชู ออกมาจากยอด ดอกเป็นช่อแบบซี่ร่ม สีม่วง ออกประมาณเดือนมีนาคม - เมษายน ผลกลมสีเขียว เมื่อสุก จะเป็นสีแดง เมื่ออายุ 4-5 ปี ต้นจะสูงประมาณ 2 ฟุต รากโสมที่นำมาใช้เป็นยาต้องมีอายุ 3-7 ปี จะเก็บ รากโสมราวเดือนกุมภาพันธ์ก่อนจะออกดอกจะเป็น ช่วงที่มีสารสำคัญมากสุด


โสมเกาหลี มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนเหนือ และเกาหลี แต่ปัจจุบันปลูกได้ทั้ง จีน เกาหลี รัสเซีย และญี่ปุ่น เป็นไม้ล้มลุก ขนาด 60-80 ซม. ใบเป็นใบประกอบมี 3 ใบย่อย ใบจะเพิ่มขึ้นปีละ 1 ใบ ดอกสีขาวออกเป็นช่อ ผลขนาดเล็ก เมื่อสุกจะเป็นสีแดง รากจะอวบแตกเป็นแขนง 2 อัน คล้ายขาคน ดูทั้งรากคล้ายคนจึงเรียก “โสมคน” รากแก่ ยาว 8-20 ซม.โสมเกาหลีปลูกยาก ต้องปลูกในที่ที่ไม่เคยปลูกโสมมาก่อนในช่วงเวลา 10-15 ปี ต้องมีแสงไม่มาก และต้องเอาใจใส่ดูแล อย่างดี ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดจากต้นแก่ มีอายุ 4 ปีขึ้นไป และต้องนำเมล็ดมา ปลูกทันที หากทิ้งให้แห้งจะไม่ขึ้น ถ้านำเมล็ดมาฝัง ในที่ชื้นทันที จะงอกใน 8 เดือน แต่ถ้าทิ้งเมล็ดไว้ 4 เดือนจึงนำมาปลูก ในที่ชื้นจะใช้เวลา 19 เดือนจึงจะงอก โสมชอบดินเหนียว pH ประมาณ 5.5-6.0 อุณหภูมิ 0-15 องศา ไม่ชอบแดด จึงต้องทำร่มบังให้ ภูมิอากาศในประเทศไทยไม่เหมาะสำหรับโสม จึงยังไม่สามารถปลูกโสมได้
โสมที่ใช้ทางยาต้องมีอายุ 5-6 ปี จะเก็บผลสุกและเมล็ดแล้วจึงเก็บรากโสมเกาหลีมี 2 ชนิด ขึ้นกับกรรมวิธีในการทำให้แห้ง

โสมขาว (White Ginseng) นำรากโสมที่ล้างสะอาดมาตากแดดหรืออบให้แห้งทันที

โสมแดง (Red Ginseng) นำรากโสมที่คัดเอาเฉพาะที่ดีๆมาล้างให้สะอาด แล้วอบด้วยไอน้ำ 120-130 ํc. เป็นเวลา 2-4 ชั่วโมง จนเป็นสีน้ำตาลแดง แล้วจึงนำไปอบให้แห้ง จะเป็นสีน้ำตาลแดง (ใส) และจะมีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์เพิ่มขึ้นอีก 4 ชนิด ราคาแพงกว่าโสมขาวโสมอเมริกัน เป็นพืชที่มีถิ่นกำหนิดในสหรัฐอเมริกา ต้นสูงประมาณ 30 ซม. ใบประกอบมีใบย่อย 5 ใบ ดอกสีขาวเหลืองเป็นช่อผลสุกแดง รากแก่ยาว 5-10 ซม. แตกเป็นหลายแขนงคล้ายซ่อม มีรอยย่นตามขวาง ขยายพันธุ์โดยเมล็ด นำไปฝังทรายที่ชื้น ลึก 1.25 ซม. ในที่เย็น เป็นเวลา 18 เดือน จึงนำไปปลูกลงแปลงได้ ชอบดินร่วน การระบายน้ำดี เก็บรากเมื่ออายุ 5-7 ปี ตากให้แห้งในที่ร่ม และใช้เวลาถึง 6 สัปดาห์ หรือ อบในตู้อบที่มีอากาศถ่ายเทได้ให้ความร้อน 60-80 ํF 2-3 วัน แล้วเพิ่มเป็น 90 ํFในตำรายาจีนกล่าวถึงสรรพคุณของโสมว่า เป็นยาบำรุงกำลัง ยากระตุ้น ยาเร่งกำหนัด รักษาอาการ ทางประสาท อ่อนเพลีย ไม่มีแรง อาหารไม่ย่อย หัวใจเต้นแรงผิดปกติ โรคหอบหืด โรคความจำเสื่อม ปวดศีรษะ ชัก และมะเร็ง และเชื่อกันว่าโสม เพิ่มความต้านทานต่อโรค ทำให้ฟื้นไข้เร็วมีคำแนะนำว่าไม่ควรใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานเกิน 1 เดือนต่อครั้ง

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ FITWAY THAILAND

ชาวเอเชียเป็นนักกิน นักดื่ม และผู้ผลิต “อาหารของโลก” รายใหญ่ที่สุด…
เหตุนี้เองที่ทำให้คนผิวขาวนักล่า (อาณานิคม) เดินเรือมาแสวงหาดินแดนแห่งความอบอุ่น ดินดี อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ่มใส และหา เครื่องเทศ กลับไปปรนเปรอพวกเขา
จากอดีตถึงปัจจุบัน แผ่นดินกว้างใหญ่ของเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ เป็นต้นกำเนิดของอาหารของคนทั้งโลก และเป็นแหล่งของสมุนไพร เครื่องเทศ ของจำเป็นในการปรุงอาหาร ขาดไปใส่น้อยไป อาหารจะไม่ชูรส ชูกลิ่น
กระทั่งเกลือ น้ำตาล เครื่องปรุงจำเป็น แหล่งผลิตสำคัญก็อยู่ในภูมิภาคเอเชียและในเขตร้อน ตอนนี้น้ำตาลแพง คนไทยอาจต้องวิรัติความหวานไปบ้าง เหตุบ้านยามเมืองตอนนี้ก็ไม่น่าหวาน ออกเปรี้ยว ขม และขื่น…
สมัยก่อน ประเทศอินเดียเป็นแหล่งผลิตเกลือ แต่เมื่อถูกต่างชาติรุกราน แถมแผ่อิทธิพลผูกขาดการเป็นพ่อค้าคนกลางขายเกลือเสียเอง ทั้งๆ ที่เมล็ดเกลือมาจากชมพูทวีป แต่ไม่ให้ชาวอินเดียเป็นคนขาย แค่เป็นแรงงานหาเกลือแล้วคนผิวขาวก็มาแย่งเม็ดเงินจากการขายไปหน้าตาเฉย
เกลือ น้ำตาล และเครื่องเทศ จนถึงใบชา ก่อให้เกิดสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงวันนี้ สงครามแย่งชิงดินแดนมิอาจหมดไปจากโลก…
การแย่งชิงทรัพยากร ก่อเกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอาหาร ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ วัฒนธรรมดื่มชาของชาวอังกฤษ ที่เมื่อลิ้มรสน้ำชาจากอินเดียและศรีลังกาเข้าก็ติดใจ จำต้องนำเข้าใบชา และแน่นอนกิจการผูกขาดขายใบชาจากอินเดียสู่จีนก็เริ่มขึ้น จนกลายเป็นสงคราม
ถึงตอนนี้ ชาวอังกฤษมี “อาฟเตอร์นูน ที” จิบชายามบ่ายกับของว่าง หากวัฒนธรรมการกินที่เหนียวแน่นของชาวชมพูทวีป คือ รินชาใส่เครื่องเทศ เป็น Spice Drink ภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรเครื่องเทศแต่โบราณ เป็นเอกลักษณ์ของชาวอินเดียและชาวตะวันออกกลาง
เคยไปอียิปต์ คนที่โน่นนิยมดื่มชาลิปตัน (ยี่ห้อที่ขายดีที่สุดในอียิปต์) แล้วใส่ใบสะระแหน่ ทั้งก้านทั้งใบ บ้างแช่ไว้นานๆ บ้างขยี้ขยำ แล้วซดดื่ม คล่องคอ ชื่นใจ ใครจะเติมน้ำตาลหรือนมแบบชีวิตแสนหวานก็ไม่ขัด ดื่มชาร้อนท่ามกลางอากาศระอุจากผืนทราย แต่ไม่น่าเชื่อว่าช่วยคลายร้อนไปได้
เอาร้อนไปตัดร้อน อาจจะเป็นวิถีธรรมชาติบำบัดแนวโฮมีโอพาธี (Homeopathy) แปลเป็นไทยว่า “หนามยอกเอาหนามบ่ง” แล้วกลายเป็นตำรับบำบัดโรคภัยไข้เจ็บไปได้
อากาศร้อนๆ ตอนใกล้เมษาฯ ปีนี้ ใครจะจิบชาร้อนโรยเครื่องเทศจากอินเดีย จะได้น้ำชารสแปลก หอมกลิ่นเครื่องเทศ อาจไม่คุ้นเคยกันนัก ทว่าเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคอชา
ชาวอินเดียแต่โบราณ นิยมชงชาเข้มข้นแล้วใส่เครื่องเทศลงไป รายการยอดนิยมมี Cardamom Tea (ชาใส่ลูกกระวาน) Ice Lemon Tea ถ้าเป็นชามะนาวต้องดื่มเย็นๆ Masala for Tea ในบอมเบย์ เจ้าของบ้านจะเตรียมเครื่องเทศมาซาล่าสำหรับชงในชาให้แขกดื่ม เป็นเวลคัม ดริ๊งค์ มาซาล่าคือเครื่องเทศชนิดป่นผสมกันหลายอย่าง เก็บไว้ในโถที่แห้ง และ Spice Tea ชาร้อนรวมเครื่องเทศหลายชนิด
นอกจากชาแล้ว ชาวอินเดียมีสูตรกาแฟใส่เครื่องเทศ ไม่ใช่กาแฟคาปูชิโนเติมผงอบเชยแค่นั้น และมีไวน์ที่เติมเครื่องเทศ เหล้ารัมที่ดื่มแบบร้อนผสมน้ำผลไม้แล้วได้กลิ่นของอบเชย หรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์อ่อนๆ เคล้าพริกไทยดำ กลิ่นของฮอร์สราดิช เซเลอรีหรือขึ้นฉ่ายกับออริกาโน ฯลฯ
แต่ก่อนอื่น ลองหาเครื่องเทศสำหรับชงชา เหลือนักก็นำไปทำอาหารอินเดียหม่ำ ส่วนใหญ่ชาวอินเดียนิยมใช้เครื่องเทศป่นหรือผงทำกับข้าว ในขณะที่ชาวเอเชียและคนไทยนิยมใช้เครื่องเทศและสมุนไพรสด หรือไม่ก็ตากแห้ง เดี๋ยวนี้ในตลาดติดแอร์บางแห่งก็มีเครื่องเทศของอินเดียจำหน่าย หรือหาซื้อได้จากร้านขายเครื่องเทศอินเดียแถวบางรัก และในตลาดพาหุรัดซึ่งมีทั้งเครื่องเทศ ถั่วชนิดต่างๆ แป้งสาลีสำหรับทำนาน จาปาตี พาราธา และแป้งข้าวโพดสำหรับทำปาปาดัม และเครื่องปรุงอาหารอินเดียชนิดต่างๆ
เครื่องเทศยอดนิยมมี ลูกผักชี ยี่หร่า ใบแกงกะหรี่ ผงกะหรี่และน้ำพริกกะหรี่ การัม มาซาล่า (ผงเครื่องเทศสำเร็จรูป ประกอบด้วยเปลือกอบเชย พริกไทยดำ ลูกผักชี ยี่หร่า ลูกเฮ็ล กานพลู จันทน์เทศ บดเป็นผง) ฆีหรือเนยเหลวรสจืด หญ้าฝรั่นหรือแซฟฟรอนราคาแพงมาก ผงขมิ้น ลูกกระวาน ใบกระวาน และสมุนไพรสดอย่างขิง ข่า ตะไคร้ กะปิ พริกชี้ฟ้า ใบมะกรูด มะขามเปียก หาซื้อได้ทั่วไป
ได้เครื่องเทศพอจะชง “ชาเครื่องเทศ” ได้แล้ว ลองทำดู เช่น ชากระวาน ในประเทศอินเดีย ชาชนิดนี้เสิร์ฟกับของหวานและของว่าง รสชาค่อนข้างเข้มข้นด้วยกลิ่นของเครื่องเทศ ใช้ชาถุงสำเร็จก็ได้หรือชาดำ นำลูกกระวานต้มในน้ำเดือด รอให้เย็นแล้วค่อยเติมในชาร้อนที่ชงเตรียมไว้แล้ว เติมกลิ่นด้วยเปลือกส้มและน้ำส้มอีกนิดหน่อย ดื่มสดๆ ได้รสเครื่องเทศหอมกลิ่นเปลือกส้มชื่นใจ หรือเสิร์ฟกับน้ำตาล นม ตามแต่แขกต้องการ
ชามะนาวเย็นตำรับอินเดีย ชามะนาวแทบจะเป็นเครื่องดื่มชาเย็นแบบทั่วไป แต่ถ้าชงแบบอินเดียต้องเติมเครื่องเทศบางอย่างเช่น กานพลู ใช้แบบแท่งที่ตากแห้ง ผสมกับอบเชย 1 แท่ง ใบสะระแหน่สัก 5-6 ใบ ต้มรวมกันพอเดือดก็เอาน้ำมาเติมใส่ชาเอิร์ลเกรย์แก่ๆ เติมน้ำตาล น้ำมะนาว ตามชอบ ตกแต่งด้วยมะนาวฝานหรือใบสะระแหน่ เสิร์ฟเย็นคลายร้อนดีนัก
ชาดำกับเครื่องเทศ โดยทั่วไปชาวอินเดียชอบดื่มชาดำใส่เครื่องเทศรวมแล้วเติมน้ำตาลกับนม รสหวานเข้มข้น แต่ทางเลือกใหม่สำหรับคนวิรัติน้ำตาลคือชงดื่มสดๆ เติมเครื่องเทศตากแห้งได้แก่ ก้านอบเชย กานพลู ลูกกระวาน ต้มให้เดือด 10 นาที ชงชาแล้วนำน้ำชาที่ชงนั้นลงต้มพร้อมเครื่องเทศอีกครั้ง ใช้เวลา 3-4 นาที ก่อนเสิร์ฟหยอดลูกกระวานลงสัก 2-3 ลูก
ชามาซาล่า เวลคัม ดริ๊งค์แบบชาวบอมเบย์ สูตรนี้ใช้เครื่องเทศหลายตัว วิธีทำยุ่งยากหน่อยแต่สามารถทำเก็บไว้ในโถที่สะอาดแล้วนำมาใช้ในคราวต่อไปได้ มีลูกกระวานสีเขียว กะเทาะเอาเมล็ดสีดำข้างในออก แล้วเตรียมพริกไทยดำ กานพลู โขลกละเอียด ผสมกับลูกกระวานแล้วเติมผงขิงลงไปนิดหน่อย เก็บใส่โถไว้ ตอนใช้ก็เอามาต้มให้เดือด เติมในน้ำชา รสชาติเผ็ดร้อนนิดๆ หอมกลิ่นเครื่องเทศผสมผสานกัน ช่วยระบาย แก้ท้องอืด เป็นยารักษาระบบย่อยอาหาร
นี่แหละประโยชน์ของเครื่องเทศ เป็นทั้งเครื่องปรุง อาหารและยา กินเป็นจานหรือดื่มเป็นถ้วย ดีทั้งนั้น…@
ที่มา :http://www.bangkokbiznews.com/

กรุ๊ปเลือด A

สิ่งที่ควรทำ
1. ฝึกฝนการใช้ความคิดสร้างสรรค์และรู้จักแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง
2. วางแผนการที่จะทำในแต่ละวัน
3. หาเวลาพักระหว่างวันทำงานอย่างน้อย 2 ช่วง ช่วงละ 20 นาที ใช้เวลานั่งคิดไตร่ตรองสิ่งต่างๆ
4. รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ
5. บริโภคโปรตีนเพิ่มมากขึ้นในมื้อเช้า และลดปริมาณลงในมื้อเย็น
6. ไม่ควรกินเมื่อรู้สึกหงุดหงิด
7. เปลี่ยนมารับประทานอาหารมื้อเล็กๆ 6 มื้อต่อวัน แทน 3 มื้ออย่างเคย เพราะจำนวนครั้งที่ถี่มากขึ้น ช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานดีขึ้น
8. หาเวลาครึ่งชั่วโมง ฝึกจิตใจให้สงบสัก 3 ครั้งต่อสัปดาห์
9. หมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจ
10. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

กินอย่างไร
คนที่มีเลือดกรุ๊ป A ควรงดนมสด รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยและชีส เพราะจะทำให้รู้สึกแน่นท้อง เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หันมารับประทานผักใบเขียว และใบเหลืองอย่างฟักทอง แครอท ผักขม บร็อคโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูง และช่วยป้องกันโรคมะเร็งด้วย ไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีเลือดหมู่นี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดในกระเพาะอาหารที่จำเป็นต่อการย่อยโปรตีนเนื้อสัตว์ ดื่มชาใบเขียวเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้ ควรจำกัดน้ำตาล คาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานได้ช้าลงอาหารเช้าควรอุดมด้วยโปรตีน สำหรับคนเลือดกรุ๊ป A อาหารเช้าถือเป็นมื้อสำคัญที่สุด และไม่ควรอดอาหาร เพราะจะทำให้ก่อให้เกิด ความเครียดได้ คนเลือดกรุ๊ป A จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดสูงมาก เนื่องจากร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล ออกมาในปริมาณสูง แต่ฮอร์โมนดังกล่าว สามารถลดลงได้ถ้าได้ทำกิจกรรมที่ร่างกายต้องจดจ่อกับสิ่งๆหนึ่งอย่างโยคะ ไทชิ หรือฝึกสมาธิ กำหนดลมหายใจ

จัดการกับอารมณ์
1. ระบายความรู้สึกออกมาถ้าต้องการ อย่าเก็บกดเอาไว้
2. ก่อนที่จะเริ่มกิจกรรมหรืองานอื่น ต้องจัดการสิ่งที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จ
3. เด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจ การผัดวันประกันพรุ่ง จะทำให้เกิดความเครียดได้
4. ใน 1 เดือน หาเวลา 1 วัน อยู่เงียบๆตามลำพัง
5. หากออกกำลังกาย อย่าหักโหม ต้องหยุดพักก่อนถึงขีดจำกัดของร่างกาย

กรุ๊ปเลือด B

ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป B ควรบริโภคเนื้อสัตว์ปลอดสารปรุงแต่งเจือปนและไม่ติดมันหลายๆครั้งใน 1 สัปดาห์ เพราะคนหมู่เลือดนี้สามารถเผา ผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดี ไม่ควรบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่ แต่นมและผลิตภัณฑ์จาก นมกลับเหมาะสำหรับคนเลือดกรุ๊ป B เป็นอย่างมาก ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป B
ควรออกกำลังกายประเภทท้าทายร่างกายและจิตใจ กิจกรรมที่เหมาะ ต้องเป็นประเภทที่ใช้สมาธิควบคู่กับการออกแรงมาก เช่น เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล และกอล์ฟ

จัดการกับอารมณ์
คนเลือดกรุ๊ป B เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุลย์ ก็จะสามารถขจัดความเครียดและความวิตกกังวลลงได้ แต่เมื่อใดที่ไม่อยู่ใน สภาวะสมดุลย์ ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้น และทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อไวรัส เกิดอาหารเหนื่อยล้าเป็นเวลานาน จิตใจมัวหมองและภูมิคุ้มกันบกพร่อง สิ่งที่ต้องทำคือ ลดฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ร่างกายหลั่งออกมาเพื่อตอบสนองต่อสภาวะเครียด ด้วยการทำสมาธิ และการใช้จินตนาการ การหากิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดสมาธิ ซึ่งไทชิ จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด นอกจากช่วยลด ความเครียดแล้ว ยังลดความดันโลหิต และทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น และอาจฟังดนตรีแนวที่ช่วยลดความเครียด หรือเพลงที่ทำให้เกิดจินตนาการ

กรุ๊ปเลือด AB

สิ่งที่ควรทำ
1. ฝึกฝนนิสัยที่เป็นมิตรของคุณ โดยเปิดรับสิ่งใหม่ๆรอบตัว และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่มีการแข่งขันสูง
2. เลิกหมกมุ่นกับปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้ หรือไม่ได้มีผลกระทบต่อคุณ
3. ฝึกการใช้จินตนาการเป็นประจำทุกวัน
4. มีแผนการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ โดยกำหนดเป็นรายปี เดือน สัปดาห์หรือต่อวัน
5. ค่อยๆเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิต อย่าพยายามจัดการกับทุกสิ่งในเวลาเดียวกัน

กินอย่างไร
ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป AB ต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์สีแดง และไม่ควรรับประมานเนื้อไก่ เนื่องจากร่างกายมีกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ อาหาร และน้ำย่อยในลำไส้มีปริมาณน้อย ทำให้ย่อยอาหารได้ยาก เปลี่ยนมาบริโภคผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่และผักแทน อาหารที่ควรเลี่ยง สำหรับคนเลือดกรุ๊ป A และ B ก็ควรจะเลี่ยงในผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ด้วยกัน เช่น ไม่บริโภคคาเฟอีน และ แอลกอฮอล์มากเกินไป เพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลีน และนอร์อะดรีนาลีน ซึ่งคนเลือดกรุ๊ป AB มีมากอยู่แล้ว ไม่ควรอดอาหาร เพราะจะทำให้เกิดความเครียด ออกกำลังกาย ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป AB ควรทำกิจกรรมทั้งประเภทที่ก่อให้เกิดความสงบนิ่ง และใช้แรงมาก เช่น โยคะและการเต้นแอโรบิค

การจัดการกับอารมณ์
1. วางแผนล่วงหน้าว่าจะทำอะไร เพื่อช่วยลดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน และไม่เกิดความเร่งรีบจนทำอะไรไม่ถูก
2. หยุดพักในวันทำงานด้วยการทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะถ้างานของคุณต้องนั่งอยู่กับที่ เพราะจะช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น
3. ปลีกเวลาไปตอบแทนสังคมบ้าง เพราะคนเลือดกรุ๊ปนี้มีพื้นฐานเป็นคนใจบุญสุนทาน และเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลก ซึ่งอาจใช้วิธีบริจาคเงินหรือสิ่งของให้แก่ผู้ยากไร้

กรุ๊ปเลือด O

สิ่งที่ควรทำ
1. มีแผนการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ โดยกำหนดเป็นรายปี เดือน สัปดาห์หรือต่อวัน
2. หลีกเลี่ยงการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ และอย่าใช้เงินเมื่อเกิดความรู้สึกเครียด
3. หากรู้สึกเครียดหรือหงุดหงิด พยายามทำให้ร่างกายเกิดความรู้สึกเคลื่อนไหว
4. เมื่อเกิดความรู้สึกอยากเหล้า บุหรี่ น้ำตาล และยานอนหลับ สิ่งเหล่านี้ จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารที่ทำให้เกิดความสุข ในระยะแรกเท่านั้น ควรหากิจกรรมอย่างอื่นแทน

กินอย่างไร
อาหารประเภทโปรตีนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป O ควรรับประทานเนื้อสัตว์ต่างๆให้มาก ยกเว้นหมู นม และผลิตภัณฑ์ จากนมให้บริโภคแต่น้อย เพราะร่างกายจะย่อยได้ยาก จำกีดปริมาณการบริโภคถั่ว รับประทานผัก ผลไม้ให้มาก และเปลี่ยนมา ดื่มชาเขียวแทนกาแฟ ออกกำลังกาย ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป O ที่ออกกำลังสม่ำเสมอ จะมีการตอบสนองต่ออารมณ์ดียิ่งขึ้น การเต้นแอโรบิค วิ่งหรือปั่นจักรยานครั้งละ 30-45 นาที ประมาณ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้เกิดสภาวะสมดุลย์ของอารมณ์

จัดการกับอารมณ์
1. กำหนดแผนการว่าจะทำอะไร เพื่อลดความซ้ำซากจำเจ เพราะเมื่อคนเลือดกรุ๊ป O รู้สึกเบื่อ พวกเขามักทำอะไรเสี่ยงๆ
2. ฝึกรับมือกับความโกรธด้วยวิธีการดังนี้ เมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธ ไปเดินเล่นสักพัก ดื่มน้ำ ออกกำลังหรือเขียนระบายความรู้สึกออกมา รอจนกว่าจะหายโกรธ แล้วค่อยกลับมาจัดการกับปัญหา อีกวิธีคือเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา บ่อยครั้ง ความโกรธมีสาเหตุมาจากการเสียความสามารถในการควบคุม เมื่อคุณเลือกที่จะแก้ปัญหามากกว่าระเบิดอารมณ์โกรธ ออกมา ก็จะสามารถควบคุมระดับความเครียดในร่างกายให้คงที่ได้

ที่มา : http://nenfe.nfe.go.th/kku/index1.html

ดื่มน้ำบำบัดโรคเค้าบอกว่า การดื่มน้ำมากมากจะทำให้อายุยืน ยิ่งถ้าพบว่าผิวหนังแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ตา แห้ง มีกลิ่นปาก ท้องผูก เป็นริดสีดวงทวาร นั่นแสดงว่า ร่างกายของคุณกำลังขาดน้ำอย่างยิ่งเชียว

วิธีแก้แบบง่าย, ปลอดภัย และประหยัดที่สุดก็คือ การดื่มน้ำ นั่นเอง

แต่…จะดื่มยังไงดี???? นั่น คือคำถาม

ดื่มให้ถูกวิธี คือ ดื่มวันละ 14 แก้ว ได้แก่
1. เวลาตื่นนอนให้ดื่มน้ำอุ่น 4 แก้ว
2. ก่อนอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว
3. หลังอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว
4. ในเวลา 10.00, 14.00 ,16.00 เวลาละ 1 แก้ว
5. ก่อนนอนดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว
รวม 14 แก้ว ……..เอิ๊ก…จะดื่มไหวมั้ยเนี่ย…ต้องลองดูนะ

เทคนิคในการดื่มน้ำเพื่อสุข
เค้าบอกว่าถ้าดื่มในช่วงพระอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้า ต้องดื่มน้ำอุ่น….
แต่ถ้าพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าแล้ว ให้ดื่มน้ำเย็นค่ะ
เป็นการกลับคืนสู่ธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนหลงลืมอิทธิพล ของพระอาทิตย์-พระจันทร์มานาน ถ้าทำได้ดังที่ว่านั้น เค้าบอกว่าประโยชน์จะเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณอย่างเห็นได้ชัด เพราะการดื่มน้ำ สามารถทำลาย เชื้อแบคทีเรียได้ ทำให้โอกาสในการเป็นโรคภูมิแพ้ต่ำ สามารถล้างคราบไขมันตามลำคอ และล้างลำไส้ที่มีความยาว 12 เมตรของมนุษย์ได้ ..

ที่สำคัญ การดื่มน้ำในจำนวนนี้ทำให้การขับถ่ายไม่มีปัญหา

สำคัญอยู่ที่ว่า เราจะสามารถดื่มน้ำได้ตามคำแนะนำนี้หรือเปล่า