โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มติชนรายวัน วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10400
มีผู้ส่งอี-เมล ข้อเขียนภาษาอังกฤษมาให้ผม ภายใต้ชื่อว่า You have two choices อ่านแล้วรู้สึกประทับใจ จึงขอแปลและถ่ายทอดต่อในวันนี้
เจอรี่เป็นผู้จัดการภัตตาคาร เขาเป็นคนอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดที่มีคนถามว่าเขาสบายดีหรือ เขาตอบอย่างนี้เสมอ "ถ้าจะให้สุขกว่านี้ได้คงต้องมีคู่แฝด" (มีความสุขล้นอยู่แล้ว หากจะให้สุขกว่านี้ได้ก็ต้องมีอีกร่างมารองรับความสุข หรือเป็นเพื่อน-ผู้เขียน)
เมื่อเจอรี่เปลี่ยนงาน พนักงานเสิร์ฟหลายคนก็มักจะลาออกจากงานตามเขาไปด้วยจากร้านหนึ่งไปอีกร้านหนึ่ง ทำไม? เพราะว่าเจอรี่เป็นนักจูงใจโดยธรรมชาติให้ผู้คนมีกำลังใจ
ถ้าลูกจ้างคนไหนมีสภาพจิตใจไม่ดี เขาก็จะเป็นเพื่อนข้างเคียงที่ชี้ชวนให้มองด้านบวกของสถานการณ์เสมอ
เมื่อเจอรี่เป็นอย่างนี้ ทำให้ผมอยากรู้เคล็ดลับของเขา วันหนึ่งผมก็เดินไปหาเขาและถามเจอรี่ว่า "ผมไม่เข้าใจ ไม่มีใครสามารถมองโลกในด้านดีได้ตลอดเวลา คุณทำได้ยังไงนะเจอรี่ ?"
เจอรี่ตอบว่า "ทุกเช้าที่ผมตื่นขึ้น ผมจะบอกตัวเองว่าวันนี้ผมมีสองทางเลือก ผมสามารถเลือกที่จะมีอารมณ์ดี หรือเลือกที่จะมีอารมณ์เสีย และผมเลือกที่จะมีอารมณ์ดีทุกครั้ง เมื่อมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น ผมสามารถเลือกที่จะเป็นเหยื่อของมันหรือผมเลือกที่จะเรียนรู้จากมัน และผมก็เลือกที่จะเรียนจากมันเสมอเช่นกัน"
ทุกครั้งที่มีคนมาหาผมและถามว่า ผมสามารถเลือกที่จะรับคำบ่นว่าของเขาหรือชี้ให้เห็นด้านบวกของชีวิต และผมก็เลือกการชี้ด้านบวกของชีวิตเสมอ
"แต่มันไม่ได้ง่ายๆ อย่างนั้นเสมอไปไม่ใช่หรือ" ผมท้วง "ใช่ครับมันไม่ง่าย" เจอรี่ตอบ
ชีวิตเป็นเรื่องของการเลือกทั้งสิ้น ถ้าคุณตัดไอ้ส่วนที่เป็นขยะออกไปแล้ว ทุกสถานการณ์คือการเลือกอย่างหนึ่งนั่นเอง
คุณเลือกที่จะมีปฏิกิริยาอย่างไรก็ได้ต่อสถานการณ์หนึ่ง
คุณเลือกที่จะให้คนอื่นมีผลกระทบอย่างไรก็ได้ต่ออารมณ์ของคุณ
คุณเลือกได้ที่จะอยู่ในภาวะอารมณ์ดี หรืออารมณ์เสีย
มันเป็นทางเลือกของคุณว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร
หลายปีต่อมา ผมได้ยินว่าเจอรี่ได้เลินเล่อกระทำสิ่งต้องห้ามในธุรกิจร้านอาหารนั่นก็คือเผลอเปิดประตูหลังร้านไว้
ในเช้าวันหนึ่งเขาก็ถูกปล้นโดยชายสามคน ขณะที่ถูกบังคับให้เปิดเซฟ มือเขาสั่นจากความหวาดกลัวจนหมุนรหัสไม่ถูกต้อง โจรตื่นตกใจก็เลยยิงเขา
โชคดีที่มีคนพบเขาและส่งโรงพยาบาลทันเวลา หลังจากการผ่าตัดนาน 8 ชั่วโมง และอีกหลายอาทิตย์ของการเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด เจอรี่ก็กลับบ้านได้โดยมีเศษโลหะจากหัวกระสุนฝังอยู่ในตัวเขา
ผมพบเจอรี่ประมาณ 6 เดือนหลังจากเหตุการณ์นั้น เมื่อผมถามเขาว่าสบายดีหรือ เขาก็ตอบอย่างเดิมว่า "ถ้าจะให้สุขกว่านี้ได้คงต้องมีคู่แฝดละครับ จะดูแผลเป็นของผมไหม?"
ผมปฏิเสธที่จะดูรอยแผลของเขา แต่ถามเขาว่าเขาคิดอะไรอยู่ในขณะที่ถูกปล้น "สิ่งแรกที่ผ่านเข้ามาในใจผมก็คือ ผมควรล็อคประตูหลังร้าน" เจอรี่ตอบ
ขณะที่นอนอยู่บนพื้นหลังจากถูกยิง ผมจำได้ว่าผมมีสองทางเลือก หนึ่งคือเลือกที่จะมีชีวิตรอด หรือสองเลือกที่จะตาย
"คุณไม่กลัวเหรอ" ผมถาม เจอรี่ก็พูดต่อไปว่า "พวกบุคลากรแพทย์ปฐมพยาบาลนั้นยอดมาก เขาบอกผมตลอดเวลาที่พาไปโรงพยาบาลว่าทุกอย่างโอเคผมรอดแน่
แต่เมื่อเขาเอาผมใส่รถเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน ผมเห็นสีหน้าของพวกหมอและพยาบาลแล้ว ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที เพราะในตาของพวกเขาอ่านได้ว่า "เขาคงตายแน่" ผมรู้ทันทีว่าผมต้องทำอะไรสักอย่าง "คุณทำอะไรล่ะ" ผมถาม
"มีพยาบาลตัวใหญ่คนหนึ่งตะโกนถามคำถามผม เธอถามว่าผมแพ้อะไรบ้าง" ผมก็ตอบว่า "ผมแพ้ลูกปืนครับ"
ในขณะที่เขาหัวเราะกัน ผมก็บอกเขาว่า "ผมเลือกที่จะมีชีวิตรอด กรุณาผ่าตัดผมเสมือนว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ซากศพที่ตายแล้วนะครับ"
เจอรี่รอดชีวิตมาได้เพราะฝีมือของหมอ และทัศนคติอันน่าอัศจรรย์ของเขา
ผมเรียนรู้จากเขาทุกวันว่า คุณมีทางเลือกที่จะหาความสุขจากชีวิตหรือขมขื่นกับชีวิต
สิ่งที่เป็นของคุณอย่างแท้จริงชนิดที่ไม่มีใครสามารถควบคุมหรือเอาไปจากตัวคุณได้ก็คือทัศนคติของคุณ ถ้าคุณสามารถจัดการในเรื่องนี้ได้สิ่งอื่นๆ ในชีวิตจะง่ายขึ้นอีกมากมาย
มาถึงตรงนี้คุณมีสองทางเลือก (1) โยนทิ้งข้อความนี้ไปเสีย หรือ (2) สื่อข้อความนี้ต่อให้ใครสักคนที่คุณห่วงใย
ผมหวังว่าคุณจะเลือกข้อ (2) นะครับ สำหรับผมนั้นได้เลือกข้อ (2) ไปแล้วไง