พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น “สูตรแห่งชีวิตประจำวัน”
ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...
ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ
เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ตำราแห่งชีวิต” ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา
และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้,
เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไร
ให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น,
ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง
และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น
และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน,
ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร,
ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลา
ของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการ
ผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ
๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณ
อย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะ
ทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็น
ต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ
อีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร
ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง
กันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ
ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง
ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า
คนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

ที่มา : Forward Mails

บอกรัก...ภาษาดอกไม้

15/7/52 |

เริ่มต้นเข้าสู่เทศกาลอันอบอวลด้วยความรักอีกครั้ง เราขอมอบเรื่องราวความรักหวานๆ ในแบบภาษาดอกไม้ ที่ไม่เพียงแต่ให้ความรู้สึกที่แสนโรแมนติก ซ้ำยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าความนัยที่แฝงอยู่ภายใต้ความงดงามของดอกไม้แต่ ละชนิดนั้นให้ทุกๆ ท่านได้ทราบก่อนจะถึงวันสำคัญของความรักในวันพรุ่งนี้

 

มนุษย์ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกัน ระหว่างชายหญิงมานานนับศตวรรษ โดยทั่วไปคนมักคิดว่าดอกไม้ที่ใช้สื่อความหมายแทนความรักมีเพียงดอกกุหลาบสี แดงเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้อง

 

ภาษาดอกไม้กำเนิด ขึ้นครั้งแรกที่เมืองคอนสแตนติโนเบิล กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1600 ก่อนจะเข้าสู่ประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. 1716 โดย Lady Mary Worthley Montagu และเข้าสู่ฝรั่งเศสในหนังสือชื่อ Le Langage des Fleurs ที่ได้รวบรวมความหมายของดอกไม้ไว้มากกว่า 8 พันชนิด โดยความหมายของดอกไม้แต่ละชนิดนั้นสามารถสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้ ที่มอบให้ เห็นได้จากการที่ในสมัยกรีกโบราณช่วงก่อนคริสตกาล ในการแต่งงานเจ้าบ่าวจะสวมมงกุฎดอกไม้ให้แก่เจ้าสาว โดยมงกุฎนั้นเจ้าบ่าวจะเป็นผู้ที่ทำขึ้นมอบให้สำหรับเจ้าสาวเพื่อแทนความใน ใจ โดยส่วนใหญ่เจ้าบ่าวมักสวมมงกุฎดอกไอวีและแซมด้วยใบโอ๊ตแก่เจ้าสาว เพื่อแสดงให้เห็นถึงการแต่งงานและความรักอันมั่นคงมิเสื่อมคลาย หรือสวมมงกุฎดอกลิลีสีขาวที่แซมด้วยดอกฟอร์เกตมีนอต ที่แสดงถึงความรักอันบริสุทธิ์และมิมีวันลืมเลือน

 

ภาษาดอกไม้นั้น ...ยังคงทรงคุณค่าแทนใจของผู้มอบให้มาจวบจนปัจจุบัน และไม่เฉพาะเพียงความรักแบบชายหนุ่มและหญิงสาวเท่านั้น ภาษาดอกไม้ยังสามารถใช้สื่อความหมายแทนความผูกพันสำหรับผู้ใกล้ชิดได้อีก ด้วยการนำดอกไม้มาใช้ในการแสดงความรู้สึกจึงเป็นสิ่งที่นิยมใช้กัน ทั่วโลก แต่ด้วยข้อจำกัดของดอกไม้ที่สามารถแห้งเหี่ยวไปตามกาลเวลา จึงทำให้มนุษย์คิดหาวิธีที่จะเก็บเอาดอกไม้และความหมายที่ตราตรึงในความ รู้สึกไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา ด้วยการนำโลหะมีค่าต่างๆ และอัญมณีที่มีความสวยงามมาประดิษฐ์เรียงร้อยเป็นเครื่องประดับลวดลายคล้าย ดอกไม้นั้นๆ เพื่อที่จะได้เก็บเป็นของที่ระลึกแทนใจ เริ่มแรกนั้น เครื่องประดับลวดลายดอกไม้ยังคงรูปแบบของดอกไม้แต่ละชนิดไว้อย่างชัดเจน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในและอยู่ในตัวเรือน ซึ่งทำจากอัญมณีและโลหะมีค่าราคาแพง ซึ่งผู้ที่สามารถใช้เครื่องประดับเหล่านี้ได้นั้นจำเป็นจะต้องเป็นผู้มีฐานะ แต่ต่อมาการพัฒนาทางด้านการออกแบบทำให้ลวดลาย สีสันที่เกิดขึ้นมีความหลากหลายและน่าสนใจ ทำให้การใช้เครื่องประดับแทนความรู้สึกนั้นขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ความหมายอันลึกซึ้งและความล้ำค่าของอัญมณีจึงทำให้เครื่องประดับชิ้นงามนี้ เปรียบเสมือนของขวัญแทนใจที่คู่รักมอบให้แก่กันในวันที่แสนพิเศษ

 

ความหมายของดอกไม้แต่ละชนิด

กุหลาบขาว (White rose) สื่อความหมายแทนคำว่า คุณมีค่าสำหรับฉัน
กุหลาบสีแดงสด (Full red rose) สื่อความหมายแทนคำว่า สำหรับคุณคือคนที่สวยที่สุดของผม

ทิวลิปสีแดง (Red tulip) สื่อความหมายแทนคำว่า ผมรักคุณ

เดซีสีขาว (White daisy) สื่อความหมายแทนคำว่า สำหรับคุณที่ไร้เดียงสา

รองเท้านารี (Lady slipper) สื่อความหมายแทนคำว่า คุณชนะใจผมแล้ว กอดผมได้ไหม

โรสแมรี (Rosemary) สื่อความหมายแทนคำว่า การที่ผมได้รู้จักคุณทำให้ผมมีชีวิตชีวา

ไอวี (Ivy) สื่อความหมายแทนคำว่า แต่งงานกับผมนะ