ก๊าซชีวภาพคืออะไร
ก๊าซชีวภาพคือ ก๊าซที่เกิดจากมูลสัตว์ หรือสารอินทรีย์ต่าง ๆ ถูกย่อยสลายโดยเชื้อจุลินทรีย์ในสภาพไม่มีอากาศ ทำให้เกิดก๊าซขึ้น ซึ่งก๊าซที่เกิดขึ้นเป็นก๊าซที่ผสมกันระหว่างก๊าซชนิดต่าง ๆ ได้แก่ก๊าซมีเทน (CH4) ก๊าซไนโตรเจน (N2) และก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) แต่ส่วนใหญ่แล้วจะประกอบด้วยก๊าซมีเทนเป็นหลัก ซึ่งมีคุณสมบัติติดไฟได้
ประโยชน์ที่ได้รับจากระบบก๊าซชีวภาพ
1. ด้านพลังงาน ก๊าซชีวภาพจุดติดไฟ และให้ความร้อนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ใช้หุงต้มอาหาร จุดตะเกียงให้แสงสว่าง ใช้กับเครื่องกกลูกหมู เครื่องทำน้ำอุ่น ใช้กับเครื่องยนต์ผสมอาหารสัตว์ เตาอบผลผลิตทางการเกษตร

นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อเดินเครื่องยนต์เพื่อใช้ในการผลิตพลังงานกลในการขับพัดลมปรับอากาศหรือใช้ขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อผลิตไฟฟ้า
2.ด้านการป้องกันและรักษาสิ่งแวดล้อม การนำมูลสัตว์ไฟหมักในสภาพไร้อาการในบ่อก๊าซชีวภาพ มูลสัตว์ที่นำมาหมักจะถูกย่อยสลายทำให้กลิ่นและไข่แมลงต่าง ๆ ที่มีอยู่ในมูลสัตว์จะถูกทำลายลงไปในขณะที่มีการหมัก ซึ่งจะทำให้ผลมลภาวะการระบาดของแมลงและกลิ่นได้
3.ให้ปุ๋ยอินทรีย์ในการฟื้นฟูสภาพดิน กากจากบ่อล้นประกอบด้วยธาตุอาหารพืชพวกไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซี่ยมที่เป็นประโยชน์กับพืชและอยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ทันที อีกทั้งกากบ่อล้นยังทำให้โครงสร้างดินเกาะตัวกันได้ดีขึ้นซึ่งมีผลทำให้อินทรีย์วัตถุคงสภาพในดินได้นานซึ่งดีกว่าการใช้อินทรีย์วัตถุในรูปอื่น ๆ
4.ลดปริมาณโรคพืชและการระบาดของวัชพืช การหมักสภาพแบบไร้อากาศ ทำให้ปริมาณของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคพืชบางชนิดลดลงได้ และยังมีส่วนในการทำลายความงอกงามของเมล็ดวัชพืช เมื่อนำมูลสัตว์ทีได้จากากรหมักไปใช้แล้วไม่ก่อให้เกิดการระบาดของวัชพืช

 

ถึงตอนนี้ก็คงสนใจก๊าซชีวภาพกันแล้วนะคะ จะเห็นได้ว่าสามารถผลิตก๊าซกันได้ทั่วไป เพราะฉะนั้นเราก็มาดูข้อมูลว่าเค้าผลิตกันยังไง มีเทคนิคยังไง และต้องมีปัจจัยอะไรในการผลิตนะคะ ซึ่งข้อมูลที่มีอยู่ในอินเตอร์เน็ตมีมากมายนะคะ จึงรวบรวมมาให้ค่ะ

เกษตรประณีต

 

 

ชุมชมเป็นสุข

 

ดูสปอตหนังโฆษณา 8 เรื่อง 8 รส จาก 8 ผู้กำกับ

  • เกษตรประณีต

  • นมแม่

  • Happy Workplace

  • ชุมชนเป็นสุข

  • สมุนไพรไทย

  • ยุทธการพอเพียง

  • ผักปลอดสารพิษ

  • ออกกำลังกาย

  • มังคุด

    |

    •  

  • ในบรรดาผลไม้ไทยทั้งหลาย "มังคุด" ได้รับการยกย่องให้เป็น "ราชินีแห่งผลไม้" ด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินีส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด รสชาติอร่อย อย่างยากที่จะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้ ในขณะที่ "ทุเรียน" จัดเป็น "ราชาแห่งผลไม้" ด้วยทั้งลักษณะภายนอกของผลที่เป็นหนามคล้ายมงกุฎของพระราชา และเนื้อในที่มีสีเหลืองทอง รสชาติที่แสนอร่อยที่ยากจะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้ขณะเดียวกัน

  • เมื่อย่างเข้าฤดูฝนก็จะมีทั้งราชาและราชินีของผลไม้ไทย ออกมาให้ได้รับประทานกันอย่างเต็มอิ่ม แถมยังมีราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ จนเป็นที่อิจฉาของชาวต่างประเทศในหลายประเทศ ถึงขนาดที่พวกเขายอมลงทุนขึ้นเครื่องบินมากินทุเรียนและมังคุดในเมืองไทยกันปีละครั้งกันเลยทีเดียว เพราะมีไม่กี่ประเทศในโลกที่ปลูกทุเรียนและมังคุดได้ และทุเรียนและมังคุดของไทยก็จัดว่าอร่อยที่สุด

  • มังคุด(Mangosteen) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Gardinia mangosteen Linn. จัดอยู่ในวงศ์ Guttiferae จัดเป็นไม้ผลเมืองร้อน แต่ชอบฝนชุ่มฉ่ำ จึงปลูกมากทางภาคใต้ของประเทศไทย เป็นไม้ยืนต้น ต้นตั้งตรงสูง 10 - 25 เมตร ใบสีเขียวเข้ม ทรงพุ่มแน่นกลม ดูงามสง่า และทุกส่วนจะมียางสีเหลืองมีใบเดี่ยวรูปไข่เนื้อ ใบหนา ค่อนข้างเหนียวคล้ายหนัง สีเขียวเข้มเป็นมัน ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลือง กลีบดอกสีแดงฉ่ำน้ำ เนื้อในของผลมังคุดสีขาวห่อหุ้มด้วยเปลือกหนาสีม่วงอมแดง หรือม่วงอมน้ำตาลอันมีกระจุกของกลีบเลี้ยงของดอกติดอยู่ที่ขั้วของผลอันเป็นเอกลักษณ์ของมังคุด มังคุดจัดเป็นไม้ผลชนิดเดียวที่ไม่มีการกลายพันธุ์ จึงมีลักษณะดั้งเดิมเหมือนสมัย 100 ปีที่ผ่านมา

  • มังคุดเป็นผลไม้ยอดนิยมที่สุดชนิดหนึ่งของคนไทย จะมีออกมาให้เราบริโภคเพียงปีละครั้ง คือช่วงย่างเข้าฤดูฝน การบริโภคมังคุด จะให้พลังงานต่ำ เหมาะเป็นผลไม้สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก กากใยจากเนื้อของมังคุดช่วยในการขับถ่าย และยังได้สารอาหาร วิตามินและเกลือแร่อื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น น้ำตาล กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก

  • เคล็ดลับในการรักษามังคุดให้สดนานที่สุด คือ เก็บไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 2 องศาเซลเซียส โดยบรรจุในถุงพลาสติกไม่เจาะรู ปิดปากถุงให้แน่น และเลือกมังคุดที่ยังเป็นสีชมพู วิธีนี้จะรักษามังคุดไว้ได้นานราวๆ 49 วัน

  • ประโยชน์ของมังคุดมิได้มีอยู่แค่เนื้อในของมังคุดที่เราใช้เป็นอาหารเท่านั้น เปลือกของมังคุดกับมีประโยชน์มากมายที่สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคอย่างได้ผล คนไทยรู้จักการใช้ประโยชน์จากเปลือกมังคุดมาเป็นยารักษาโรคมานานแล้ว เพราะคนไทยสมัยโบราณค้นพบว่าเปลือกมังคุดรสฝาดสมาน จึงนำเปลือกมังคุดมาใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วงเรื้อรัง ถ่ายเป็นมูกเลือด โดยการใช้เปลือกสดหรือเปลือกแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งต้มกับน้ำรับประทานก็ได้ผลเช่นเดียวกัน

  • นอกจากนี้ เปลือกมังคุดยังมีสรรพคุณในการสมานแผล ช่วยให้แผลหาเร็ว เช่นใช้รักษาบาดแผลผุพอง แผลเน่าเปื่อย แผลเป็นหนอง โดยการใช้เปลือกมังคุดฝนกับน้ำปูนใสทาบริเวณแผล น้ำต้มเปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำล้างแผลใช้แทนการด้วยน้ำยาล้างแผลหรือด่างทับทิมได้ด้วย

  • สรรพคุณที่โดดเด่นทางด้านผิวหนังก็ คือ มีการใช้เปลือกมังคุดรักษาโรคผิวหนัง เช่น กลากเกลื้อน บรรเทาอาการผดผื่นทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี โดยใช้เปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมังคุดทาบริเวณที่มีอาการผื่นคันทั้งหลาย โดยผลที่ได้นี้ ได้รับการพิสูจน์และยืนยันจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบว่า รสฝาดในเปลือกมังคุดนี้มีสารแทนนิน (Tannin) และสารแซนโทน (Xanthone) ที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า สารแมงโกสติน (mangostin) สารแทนนินมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแมงโกสตินมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง สารแซนโทนในเปลือกมังคุดยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังและกลากได้

  • ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้ช่วยยืนยันและช่วยรื้อฟื้นให้ภูมิปัญญาพื้นบ้านให้กลับมาเข้ายุคเข้าสมัยได้อีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันวงการเครื่องสำอางและ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดได้ให้ความสนใจนำสารสกัดจากเปลือกมังคุดไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่เปลือกมังคุด ที่ช่วยดับกลิ่นเต่าช่วยบรรเทาโรคผิวหนัง รักษาสิวฝ้า ซึ่งใช้ได้ผลดีและเป็นที่นิยมของผู้บริโภค

  • ฤดูฝนนี้ เมื่อได้ลิ้มรสของเนื้อในของมังคุดอย่างอิ่มเอมแล้ว ก็อย่าได้ทิ้งขว้างเปลือกมังคุดให้เป็นขยะเน่าเหม็นโดยเปล่าประโยชน์เลย รวบรวมแล้วตากให้แห้งสนิทเก็บใส่ขวดโหล ไว้ใช้ทำยาแก้ท้องเสีย ยารักษาแผล ยารักษาโรคผิวหนัง หรือแม้แต่นำไปทำสบู่เปลือกมังคุดสำหรับอาบน้ำดับกลิ่นตัว ก็จะเพิ่มค่าอีกมากโข คุ้มเกินคุ้มกว่าราคากิโลละ 25-30 บาทที่เราซื้อมาเสียอีก หากเผลอไผทิ้งขว้างไป เมื่อผ่านพ้นฤดูของมังคุดไปก็จะหามังคุดอีกไม่ได้ จะมาเสียดายภายหลัง ต้องรอถึงฝนหน้าจึงจะได้ยลโฉมราชินีของผลไม้อีกที

     

  • เรียบเรียงและค้นคว้าโดย นพ.จรัสพล รินทระ........................31 May,2006 เอกสารอ้างอิง. "สมุนไพรน่ารู้" วันดี กฤษณพันธ์ สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2541 "สุขภาพดีด้วยสมุนไพรใกล้ตัว (9)" โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง สำนักพิมพ์ ประพันธ์สาส์น กรกฏาคม 2541 "รู้คุณรู้โทษโภชนาการ " นิตยสารรีดเดอร์ ไดเจสท์ สำนักพิมพ์ รีดเดอร์ส ไดเจสท์( ประเทศไทย) จำกัด กันยายน 2543

     

    ที่มา : http://www.blogth.com/blog/Financial/Agriculture/5785.html

     

    เพิ่มเติมเกี่ยวกับมังคุดค่ะ

    - มังคุด: เรื่องน่ารู้และประโยชน์ใช้สอย

    - ข้อมูลพื้นฐานในการเพาะปลูกมังคุด

    - ประโยชน์ของมังคุดทางการแพทย์

    ประโยชน์ของสับปะรด

    21/5/51 |

    ใครที่ชอบรับประทานสับปะรด ทราบหรือไม่ว่า สับปะรดนั้นมีประโยชน์อย่างไร วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

    สับปะรด เป็นพืชที่รสชาติดี ใช้กินเป็นผลไม้ หรือปรุงเป็นอาหาร ส่วนมากนิยมนำไปแปรรูปทำเป็นสับปะรดกระป๋อง และสับปะรดกวน ส่วนใบมีเส้นใยยาวเหนียว สามารถนำไปทำเป็นเชือก หรือทำเป็นกระดาษ สับปะรดมีรสหวานฝาดเล็กน้อย

    สารอาหารที่อยู่ในสับปะรดมีประโยชน์จำนวนมาก และมีคุณค่าทางยาสูง มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารจำพวกเนื้อ เสริมการดูดซึมอาหาร ดับร้อนแก้กระหาย สับปะรดยังมีสารจำพวก น้ำตาล กรด วิตามิน อยู่หลายชนิด

    การรับประทานสับปะรดเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรค ไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง หลอดลมอักเสบ สับปะรดที่เริ่มนิ่ม มีน้ำเหนียวๆ ไหลออกมา แสดงว่าสุกมากเกินไปและเริ่มเน่า ไม่ควรรับประทาน

    การรับประทานที่ถูกวิธี คือ ใช้มีดใหญ่เฉือนเปลือกออกจนหมด จากนั้นจึงใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียง เป็นแถวๆ เอาส่วนตาออกแล้วตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือแกงทาให้ทั่วหรือมิฉะนั้นก็แช่ในน้ำเกลืออ่อนๆ ประมาณ 2-3 นาที การทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid และเอ็มไซม์บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้หลังรับประทาน

    หลายประเทศมีการสกัดเอนไซม์บรอมีเลนจากสับปะรดไปใช้ เพื่อช่วยให้แผลผ่าตัดทุเลาเร็วขึ้น รวมทั้งลดอาการอักเสบ แผลบวมหรืออาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา รวมทั้งมีการทดลองใช้บรรเทาอาการอักเสบจากริดสีดวงทวาร อาการเกี่ยวกับเส้นเลือดดำ โรคกระดูก และข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เก๊าท์ และอาการปวดประจำเดือน
    นอกจากนี้มีงานวิจัยที่พบด้วยว่า ด้วยฤทธิ์ย่อยโปรตีนอย่างเป็นธรรมชาติของบลอมีเลนนี่เอง ที่ทำให้เมื่อบรอมีเลนดูดซึมเข้ากระแสเลือดอาจช่วยลดการเกาะกันเป็นลิ่มเลือดของเกล็ดเลือดในหลอดเลือดแดง ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกหลายชนิด

     

    ที่มา: http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=4583.msg35089

    คลิป AF5 ย้อนหลัง

    19/5/51 |

     

    ดูคลิปย้อนหลังทั้งหมดได้ที่: http://youtube.com/user/jewsan123

    Howstuffworks "How Fat Cells Work

    16/5/51 |

    Inside This Article

    1. Introduction to How Fat Cells Work

    2. Body Fat Basics

    3. Fat Storage

     

    The difference in fat location comes from the sex hormones estrogen and testosterone. Fat cells are formed in the developing fetus during the third trimester of pregnancy, and later at the onset of puberty, when the sex hormones "kick in." It is during puberty that the differences in fat distribution between men and women begin to take form. One amazing fact is that fat cells generally do not generate after puberty -- as your body stores more fat, the number of fat cells remains the same. Each fat cell simply gets bigger!

     

    Howstuffworks "How Fat Cells Work

    Oil is an essential lubricant in your engine. It lets metal press against metal without damage. For example, it lubricates the pistons as they move up and down in the cylinders. Without oil, the metal-on-metal friction creates so much heat that eventually the surfaces weld themselves together and the engine seizes. Which is not good if you're trying to get somewhere. On the other hand, if you want someone else not to get somewhere, then draining the oil out of his or her engine is an effective roadblock!

    Let's say that your engine has plenty of oil, but you never change it. Two things will definitely happen:

    • Dirt will accumulate in the oil. The filter will remove the dirt for a while, but eventually the filter will clog and the dirty oil will automatically bypass the filter through a relief valve. Dirty oil is thick and abrasive, so it causes more wear.
    • Additives in the oil like detergents, dispersants, rust-fighters and friction reducers will wear out, so the oil won't lubricate as well as it should.

    Eventually, as the oil gets dirtier and dirtier, it will stop lubricating and the engine will quickly wear and fail. Don't worry, this isn't going to happen if you forget to change your oil one month and it goes over the recommended change interval by 500 miles. You would have to run the same oil through the engine for a long time -- many thousands of miles -- before it caused catastrophic failure.

     

    Howstuffworks "What if I never changed the oil in my car?

    Howstuffworks "What if we lived on the moon?

    |

    Let's say we did want to colonize the moon. There are some basic needs that the moon colonists would have to take care of if this were any sort of long-term living arrangement. The most basic fundamentals include:

    • Breathable air
    • Water
    • Food
    • Pressurized shelter
    • Power

    Howstuffworks "What if we lived on the moon?

    What if I never took a bath?

    |

    Think about what's going to happen if you decide to stop bathing:

    • You'll smell bad.
    • Your skin and hair gets dirtier and dirtier.
    • Your chance of infection goes up.
    • You'll probably itch a lot more, and this could lead to an even higher risk of infection.

    Consider what's going to get and remain dirty if you never bathe.

     

    Howstuffworks "What if I never took a bath?

    How Steam Engines Work

    |

    1. Introduction to How Steam Engines Work

    2. Steam Engine Operation

    3. Boilers

     

    Steam engines powered all early locomotives, steam boats and factories, and therefore acted as the foundation of the Industrial Revolution. In this article, we'll learn exactly how steam engines work!

     

    Howstuffworks "How Steam Engines Work

    What if I put aluminum foil in the microwave?

    |

    The microwave oven is one of the great inventions of the 20th century -- you can find them in millions of homes and offices around the world. At one time or another, we've all been told not to use metal products, especially aluminum foil, when cooking with a microwave oven. Stories of incredible explosions and fires usually surround these ominous warnings. Why is that? Let's take a look at how microwave ovens work to find out.

     

    ...Tiny sharp pieces and thin pieces of metal are a different story. The electric fields in microwaves cause currents of electricity to flow through metal. Substantial pieces of metal, like the walls of a microwave oven, can usually tolerate these currents without any problems. However, thin pieces of metal, like aluminum foil, are overwhelmed by these currents and heat up very quickly. So quickly in fact, that they can cause a fire. Plus, if the foil is crinkled so that it forms any sharp edges, the electrical current running through the foil will cause sparks. If these sparks hit something else in the oven, perhaps a piece of wax paper, you'll probably be reaching for the fire extinguisher...

     

    Howstuffworks "What if I put aluminum foil in the microwave?

    How Waterfalls Work

    |

    ...Waterfalls are also strangely tricky to define. Geologists sometimes have a hard time defining where a waterfall truly ends and begins. So how do waterfalls work? Are they just there all of the time, continually spilling over the edges of mountains, or do they actually form and change over time? To learn about waterfalls, read the next....

    Inside This Article

    1. Introduction to How Waterfalls Work

    2. Waterfall Formation

    3. Types of Waterfalls

     

    Howstuffworks "How Waterfalls Work

    By inducing a specific gene to increase expression of a key enzyme, vitamin D protects healthy prostate cells from the damage and injuries that can lead to cancer, University of Rochester Medical Center researchers report.

     

    Vitamin D Protects Cells From Stress That Can Lead To Cancer

    Five Highest Waterfalls in the World

    |

    Inside This Article

    1. Introduction to the Five Highest Waterfalls in the World

    2. Highest Waterfall 5: Yumbilla Falls, Peru

    3. Highest Waterfall 4: Olo'upena Falls, United States

    4. Highest Waterfall 3: Three Sisters Falls, Peru

    5. Highest Waterfall 2: Tugela Falls, South Africa

    6. Highest Waterfall 1: Angel Falls, Venezuela

     

    Howstuffworks "Five Highest Waterfalls in the World

    Newberg, a Ph.D. student in biomedical engineering, described the automated protein pattern recognition tool and its underlying methods as important for identifying biomarkers that could be useful for cancer diagnosis and therapy.

    ...Newberg said the Human Protein Atlas is an excellent example of a large scale dataset ripe for automated analysis. The atlas consists of more than 3,000 proteins imaged in 45 normal and 20 cancerous human tissues....

     

    Engineering Researchers Automate Analysis Of Protein Patterns

    Carbon-coated nanomagnets may offer a new form of cancer treatment. Research presented at the 103rd Annual Scientific Meeting of the American Urological Association (AUA) suggests that nanoparticles consisting of metallic iron with a protective carbon coat could serve as a safe and effective hyperthermia agent.

    Researchers from Germany  have found that In animal models, using heat to selectively kill tumor cells is efficient. Using metallic iron in the nanoparticles (in lieu of iron oxide) would allow heating at greater temperatures; and coating the iron with carbon would prevent the iron from rusting, which can hinder the effectiveness of the therapy....

     

    Carbon-coated Nanomagnets Could Be A New Form Of Cancer Treatment

    The use of biosensors attached to the body for health monitoring is not new. However, antennas that enable such devices to be linked together efficiently on a patient's body without wires are currently too uncomfortable to wear for a long time because they need to be large in order to maximise the strength of the signal being received. They can be reduced in size but this leads to the antenna being less efficient, meaning that the battery powering the device has to be recharged more frequently.

    ....The new types of antenna are the first in the world to deliberately harness the so-called 'creeping wave' effect. With a conventional on-body antenna the majority of the signal is transmitted either away from the patient or inwards, where it is absorbed by the patient's body which weakens the signal. The rest of the signal, though, hugs the skin's surface and 'creeps' round the body where it is picked up by the control unit....

     

    Innovative Antennae May Signal A 'New Wave' In Health Care Provision

    Version ของ ธัญญพันธ์ ปิติโรจน์วดีกุล

    Version ของ ปราโมทย์ ปาทาน

     

    เนื้อเพลง

     

    ได้ยินคำที่ใครเขาบอกกัน

    คำว่ารักนั้นหมายถึงอย่างไร

    ต่างคนก็ยังเห็นต่างไป

    สิ่งที่มีที่บรรยายมันมากเหลือเกิน

    * บางคนว่า รักคือหยาดฝน

    บางคนว่า รักคือเปลวไฟ

    ไม่ว่าใครว่าไง กับฉันความหมายมีเท่านี้

    ** คำว่ารักของฉัน หมายถึงแต่เธอผู้เดียว

    แค่เธอคำเดียวก็เกินคำพูดใด

    นี่คือนิยาม มาจากหัวใจ

    ไม่มีแล้วคำใด ที่ดีเท่าเธอ

    สิ่งดีดีที่ใครเขาพูดกัน

    คำเหล่านั้นล้วนหมายถึงแต่เธอ

    คำมากมายที่ช่างสวยเลิศเลอ

    รวมกันแล้วก็คือเธอเพียงแค่คำเดียว(*,**)

    ไม่ว่านานเท่าไร

    ทุกอย่างจะเป็นอย่างเดิม ยังเหมือนเคย

    จะไม่เปลี่ยนและผันเลย

    คำว่ารักคือคำเดิม คือเพียงคำว่าเธอ(**)

    เนื้อเพลง

    ไม่เคยได้เห็นน้ำตาที่เป็นของฉันใช่ไหม
    ที่ต้องคอยแต่แอบเอาไว้และไม่เคยร้องมันออกมา
    ที่เธอไม่รักแม้เธอไม่เคยได้เห็นในสายตา
    สิ่งดีดีที่บอกกันมาแต่ไม่เคยได้ใกล้กว่านี้
    * สิ่งที่เธอเคยได้เห็นฉันคือ..ฉันคนเดิมอยู่ตรงที่เก่า
    แบ่งปันอารมณ์ที่เหงาที่ซึมเซา แต่ไม่ใช่คนที่เธอรัก
    ** ไม่เคยขอ ไม่เรียกร้องเอาอะไรกว่านี้
    ไม่ไขว่ขว้า อ้อนและวอนเพื่อได้อย่างนี้
    แค่มองตรงนี้ก็พอให้อุ่นใจ
    ให้เธอรู้คนอย่างฉันแม้จะยืนอยู่ไกล
    แต่ว่าฉันยังไม่เคยคิดจะจากไป
    อยากให้เธอรู้ว่ามีอีกใจที่รักเธอ
    อีกคนที่รักรักเธอคนเดียวเท่านั้นหมดใจ
    ไม่ต้องการคำตอบใดๆ แค่อย่าทำร้ายใจก็พอ
    อาจมีสักครั้งที่เธอต้องทนอ้างว้างไม่เหลือใคร
    แต่อย่าลืมอีกหนึ่งคนไกลคนที่ใจไม่ไกลจากเธอ
    ซ้ำ *, ** , **
    บอกให้เธอรู้ไกลๆ หนึ่งใจยังรักเธอ

    English Grammar Books

    |

    Oxford
    -
    Oxford Practice Grammar with Answers
    - Grammar - The Oxford Guide To English Usage
    - Greenbaum, Sidney - The Oxford English Grammar (Very Advanced)
    - Oxford's New English File Elementary Workbook

    Cambridge
    - Cambridge - Essential Grammar in Use - Supplementary Exercises 1e
    Longman
    - ELEMENTARY Longman - Grammar Practice For Elementary
    - Pre - Intermediate - Grammar Practice pre-intermediate with key LONGMAN
    - PRE INTERMEDIATE Longman - New Grammar Practice pre-int with key
    - Upper - Intermediate - GRAMMAR PRACTICE FOR UPPER INTERMEDIATE - Elaine Walker (Longman)
    - INTERMEDIATE English Grammar Practice For Intermediate Students (c) Longman English Language Teaching
    - Intermediate - GRAMMAR IN USE INTERMEDIATE LONGMAN - Explanations
    - Intermediate - English Grammar Practice For Intermediate Students (c) Longman English Language Teaching
    - ADVANCED LONGMAN-English-Focus on Advanced English Grammar Practice
    SWAN
    - Swan - The Good Grammar Book
    Other
    - The Grammar of English Grammar

    - Good Grammar Guide

    - Just Enough English Grammar Illustrated

    - English Grammar for the Utterly Confused with answer key

    - English Grammar Questions

    - LANGUAGE IN USE

    English Writing Books

    |

    ลิ้งค์ Download หนังสือนะคะ จะได้เก่งภาษาอังกฤษกันทุกคนเลย

     

    - The Art of Writing & Speaking the English Language
    - Practical English Composition Book II
    - english guide to writing english
    - English - Teaching Academic Esl Writing Practical Techniques In Vocabulary And Grammar - 2004
    - Academic Writing
    - Oxford Essential Guide To Writing

    Oxford Essential Guide To Writing

    |

    Oxford Essential Guide To Writing

     

    Oxford Essential Guide To Writing (Download Link)

    By Thomas S. Kane, Berkley Edition/July 2000

    Two broad assumptions underlie this book: (1) that writing is a rational activity, and (2) that it is a valuable activity.

    PART 1 The Writing Process

    PART 2 The Essay

    PART 3 The Expository Paragraph

    PART 4 The Sentence

    PART 5 Diction

    PART 6 Description and Narration

    PART 7 Punctuation

    Beyond Tomorrow ฉลาดลำโลก

    9/5/51 |

    Beyond Tomorrow ฉลาดล้ำโลก เป็นรายการทดแทนจาก Mega Clever ที่ลาจอไป ออกอากาศทาง Modernine TV ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.30 น. เป็นรายการที่ดีนะคะ เหมาะกับทุกคนค่ะ

     

    ลิ้งค์ชมรายการย้อนหลัง ที่นี่

     

    ที่มา:  http://www.imeem.com/groups/Zz7qp2Hq,sweetsong_fanclub/

    Martin Nievera Playlists

    6/5/51 |

    image

    Martin Ramon Nievera was born on February 5, 1962, in Manila, Philippines together with twin sister, Vicky, to Bert Nievera & Conchita Razon. Nievera spent most of his childhood in Hawaii together with his father as his father sang for the group S.O.S.

     

     

    ที่มา: http://www.imeem.com/macfrancis

    Wonder Girls Playlist

    |

    image

     

     

    ที่มา : http://www.imeem.com/people/tyQksR

     

     

    ที่มา: http://www.imeem.com/groups/SVCHG0Ic,wonder_girls/

    Fahrenheit and S.H.E. Playlist

    |

     

    ที่มา: http://www.imeem.com/irenelee

     

     

     

    ที่มา : http://www.imeem.com/poohsnow/

     

     

    ที่มา: http://www.imeem.com/fahrenheit2012

    Norah Jones Playlist

    |

    image

     

     

    ที่มา : http://www.imeem.com/catscartoonland

    Madonna Playlist

    |

     

     

    ที่มา : http://www.imeem.com/labelladiva

     

     

    ที่มา : http://www.imeem.com/imtungtung

    Robbie Williams Playlist

    |

    image

     

     

    ที่มา: http://www.imeem.com/wishingstar

    Kate Voegele Playlist

    |

     image

     

     

    ที่มา: http://www.imeem.com/people/uzVG-cz

    Kylie Minogue Playlist

    |

     

     

    ที่มา : http://www.imeem.com/wlaspike/playlist/BYx5Lyon/kylie_minogue_music_playlist/

     

     

    step 1 Find an old cookie cutter

    Decide which cookie cutters you don't mind getting rid of.

    step 2 heat it up

    Heat the old cookie cutter over a burner. Tongs recommended.

    step 3 smooth it out

    Carefully smooth out original shape using needlenose pliars.

    step 4 shape it

    As the metal cools, form the new shape using the pliars.

    step 5 a little more

    Once metal cools, it is easier to finish the shaping with your hands.

     

     

    step 6 try various sizes and shapes, decorate and serve

    Different sized cookie cutters offset the simplicity of the shape.

     

     

    Custom Cookie Cutter - Instructables - DIY, How To, craft, food

    I don't have many detailed pictures for mixing up the dough, since it's fairly straight forward. Here's the recipe.
    2.5 cups flour,
    3/4 cups sugar, blitzed in a food processor until fine
    1/4 tsp salt
    two sticks of butter, cut into 1/2 inch pieces, at room temperature
    2tsp vanilla extract
    2tbs cream cheese, softened
    Using a stand mixer, mix the dry ingredients, then add the butter piece by piece, and process until the dough looks wet and crumbly looking.
    Toss in the cream cheese and vanilla, and keep going until it starts to form large clumps (30sec).

     

     

    2176500846_25106496ee.jpg   pixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

     

    2175710079_53654a5efa.jpgpixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

     

    2127702415_24b3ef4c68.jpgpixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

    For this step, you need a Play-doh extruder

     

    2175721011_b1d800ef68.jpgpixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

     

    2176506834_70e54acc30.jpg   pixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

     

    2128480690_99b18a84a8.jpg   pixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

     

    2127706281_50500164a4.jpgpixel cookies, cookies, geek, 8, bit, food, pixels, tetris

     

    How to make Pixel Cookies! - Instructables - DIY, How To, food, tech

     

    ที่มา: http://www.thairoyalprojecttour.com/home.php

     

     

     

     

    Chiropractic Chart

    |

     

     

    นักวิทย์เมืองปลาดิบเชื่อ สารสกัดสาหร่ายอาจใช้ต้านเอดส์

    นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าสารสกัดจากสาหร่ายที่ขึ้นในน่านน้ำของญี่ปุ่น จะนำมาทำเป็นยารักษาไข้หวัดบางประเภทได้

    บีบีซีนิวส์ – นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าสารสกัดจากสาหร่ายที่ขึ้นในน่านน้ำของญี่ปุ่น จะนำมาทำเป็นยารักษาไข้หวัดบางประเภทได้ อีกทั้งยังเชื่ออีกว่าอาจจะสามารถพัฒนาไปใช้เป็นยาต้านโรคเอดส์และโรคอื่นๆได้อีกเช่นกัน
    จากการทดลองประสิทธิภาพของสาหร่ายทะเลในห้องทดลอง นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นจากมหาวิทยาลัยซากะเชื่อว่าสารสกัดจากสาหร่ายบางชนิดที่ขึ้นอยู่ในทะเลชายฝั่งของญี่ปุ่นนั้น จะนำมาทำเป็นยารักษาไข้หวัดได้ดีกว่ายาตำรับปัจจุบันที่ใช้กันอยู่ทั่วไป นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ยังเชื่ออีกกว่าสารสกัดดังกล่าวอาจนำมาใช้เป็นยาต้านโรคเอดส์ได้อีกด้วย
    นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้สกัดเอาสารสกัดเอ็มซี 26 ออกจากสาหร่ายทะเลที่ขึ้นตามชายฝั่งน้ำตื้นของทะเลญี่ปุ่น แล้วนำสารสกัดดังกล่าวมาทดลองกับเซลส์ของสัตว์และปลาพบว่าสารสกัดดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการต่อต้านเชื้อไวรัส อินฟลูเอ็นซ่าโดยให้ผลเท่ากับการทานยาอมาตาดีน ไฮโดรคลอไรด์ที่ใช้รักษาไข้หวัดทั่วไปถึงสามเท่า นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อร่างกายน้อยกว่ายาปกติอีกด้วย
    ผศ. ยูโตะ กาเมอิ ประจำสถาบันเทคโนโลยีชีวภาพทางทะเลและหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยในครั้งนี้ เปิดเผยว่า “ผลการทดลองในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เอ็มซี 26 ส่งผลกระทบต่อร่างกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับยาอมานตาดีน”
    กาเมอิเชื่อว่าการค้นพบในครั้งนี้จะสามารถพัฒนาไปเป็นยาตัวใหม่ที่ใช้รักษาโรคไข้หวัดได้ และนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ยังวางแผนเพื่อพัฒนาสารสกัดจากสาหร่ายทะเลตัวนี้ ไปใช้ในการรักษาโรคเอดสด์รวมทั้งโรคอื่นๆเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้เขายังเชื่อว่าหากยาต้านโรคไข้หวัดนี้วางตลาดจะเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างแน่นอน
    ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยอื่นๆที่ได้ศึกษาประสิทธิภาพของสาหร่ายมาก่อนแล้ว โดยในปี 1998 นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้ค้นพบว่าโปรตีนในสาหร่ายใช้รักษาโรคมะเร็งได้ และนักวิจัยชาวสหรัฐฯได้ค้นพบว่าเจลที่ทำจากสาหร่ายสีแดงชนิดหนึ่งที่ขึ้นตามชายฝั่งโนวา สโกเทียและชายฝั่งประเทศชิลีสามารถใช้ป้องกันการติดต่อของโรคเอดส์ได้

     

    ชมรมแพทย์ชนบท - นักวิทย์เมืองปลาดิบเชื่อ สารสกัดสาหร่ายอาจใช้ต้านเอดส์

    เก๋ากี้ (Chinese Wolfberry)

    |

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เก๋ากี้ เป็นผลของต้นเก๋ากี้ เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้รับประทานกันในหมู่ชาวจีน ผลที่สุกแล้วจะมีสีแดงเหมือนเลือด จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ฮ่วยกี้" เป็นยาบำรุงชั้นดี ในอดีต เป็นผลไม้บรรณาการที่ใช้ถวายแด่ฮ่องเต้

    เก๋ากี้มีปลูกทั่วไปในประเทศจีน แต่ที่ปลูกในมณฑล หนิงเซี่ย กานซู่ เหอเป่ย ส่านซี เก๋ากี้ที่ดีต้องมีเม็ดใหญ่ สีแดง เนื้อหนา อ่อนนิ่ม รสหวาน การเก็บรักษา ควรเก็บไว้ในที่แห้ง ระวังอย่าให้ชื้น มิฉะนั้นจะทำให้เสื่อมคุณภาพ หรือขึ้นรา

     

    ส่วนที่ใช้ : ส่วนที่ใช้กันมากคือเมล็ด

    สารสำคัญ : แคโรทีน, ไทอามีน, วิตามิน ซี เอ และบี 2, น้ำตาล, โปรตีน

    สรรพคุณ : แก้ไอ วิงเวียนศีรษะ บำรุงไต เลือด ตับ และสายตา ใน Compendium of Materia Medice ของจีน บันทึกไว้ว่า เก๋ากี้ บำรุงไต บำรุงปอด บำรุงสายตา รักษาโรคตาบอดกลางคืน

    ตำรับยา

    ปวดหลัง ปวดเอว

    เก๋ากี้ และ โต่วต๋ง จำนวนพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน หรือใช้ปรุงอาหาร

    บำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย

    เก๋ากี้ ตังกุย โสมคน เส็กตี่ ปาเก็ก อย่างละพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน

    บำรุงประสาท กล่อมประสาท ทำให้หลับสบาย

    เม็ดเก๋ากี้ เนื้อลำไยแห้ง อย่างละ 1 ลิตร เติมน้ำ 10 ลิตร ต้มจนเนื้อยาเปื่อย กรองเอากากยาทิ้ง เคี่ยวต่อจนได้น้ำข้นๆ รับประทานครั้งละ 2 – 3 ช้อนโต๊ะ วันละหลายๆครั้ง

    แก้อาการตามัว ตาบอดกลางคืน

    ดอกเก๊กฮวย ปาเก็ก และเก๋ากี้ จำนวนพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน

    เก๋ากี้เป็นผลของต้นเก๋ากี้ เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้รับประทานกันในหมู่ชาวจีน ผลที่สุกแล้วจะมีสีแดงสด จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ฮ่วยกี้" เป็นยาบำรุงชั้นดี ในอดีตเป็นผลไม้ที่ใช้เป็นเครื่องบรรณาการ

     

    ถวายแด่ฮ่องเต้

    เก๋ากี้มีปลูกทั่วไปในประเทศจีน เก๋ากี้ที่ดีต้องมีเม็ดใหญ่ สีแดง เนื้อหนา อ่อนนิ่ม รสหวาน เก๋ากี้ที่มีคุณภาพดีไม่ได้มีรสหวานเพียงอย่างเดียว แต่จะมีรสออกขมและให้ความชุ่มคอไปพร้อม ๆ กัน ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่าหากชิมเก๋ากี้ดูแล้วได้รสหวานอย่างเดียวยังถือว่าไม่ได้เป็นเก๋ากี้ที่ดีเท่าไร ยอมรับกันว่าเก๋ากี้ที่ดีที่สุดต้องมาจากมณฑลหนิงเซี่ยเท่านั้น เก๋ากี้มีเบต้าแคโรทีนสูง มีวิตามินอีมากซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมีกรดกำมะถันเอมีน แคลเซียมธาตุเหล็ก และวิตามินบี 2 สำหรับการเก็บรักษา ควรเก็บไว้ในที่แห้ง ระวังอย่าให้ชื้น มิฉะนั้นจะทำให้เสื่อมคุณภาพ หรือขึ้นราได้

    การแพทย์แผนจีนจัดให้เก๋ากี้เป็นยารสหวาน มีธาตุเป็นกลาง บำรุงเลือด ไตและสายตา ช่วยทำให้ผมดำ บำรุงผิวพรรณ คนจีนเชื่อว่าเก๋ากี้ทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง เป็นยาอายุวัฒนะ มักจะใช้กับคนที่ไม่มีแรง อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ตามัว ปวดเมื่อยเอว ปวดเข่า ประจำเดือนไม่ปกติ ไอเรื้อรัง เลือดจาง และมีอาการของตับและไตอ่อนแอ และเพราะว่าเก๋ากี้มีความเป็นกลาง แพทย์จีนจึงบอกว่าหากมีอาการหวัด ตัวร้อน อาหารไม่ย่อย ท้องผูก อุจจาระเหลวไม่ควรกิน เนื่องจากเก๋ากี้มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว จากงานวิจัยใหม่ ๆ พบว่าเก๋ากี้มีผลในการเสริมภูมิต้านทานโรคเพิ่มจำนวนของเม็ดเลือดขาวในร่างกาย ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเลือด ป้องกันไขมันพอกตับ และช่วยทำให้เซลล์ตับทำงานได้ดีขึ้น บำรุงโลหิต ตับ และไต ช่วยลดความร้อน และบรรเทาอาการโรคไขข้อ รูมาติก บำรุงสมรรถภาพทางเพศ บรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะหน้ามืดตาลาย บำรุงสายตา และโรคตาบอดกลางคืน ช่วยทำให้นอนหลับสบาย บำรุงกำลัง บรรเทาอาการอ่อนเพลีย บรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว

     

    วิธีใช้เก๋ากี้แบบที่ง่ายที่สุดคือเอาเก๋ากี้มาครั้งละ 1 ช้อนชา ถึง 1 ช้อนโต๊ะ ชงแบบชา ดื่มต่างน้ำทั้งวัน หรือไม่เช่นนั้นก็นำมาปรุงอาหารในชีวิตประจำวัน เช่น ทำโจ๊ก โดยเอาเก๋ากี้ สัก 1 ช้อนโต๊ะต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแกง ต้มเคี่ยวนานประมาณ 10-20 นาที แล้วจึงนำเอาน้ำมาต้มข้าวจนเละเป็นโจ๊ก หรือเอามาตุ๋นไก่ ตุ๋นกระดูกซี่โครงหมู ต้มฟัก เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถนำเก๋ากี้มาเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ โดยสกัดเป็นน้ำผลไม้สกัดเข้มข้น รสชาติอร่อย ไว้เสริมสร้างและบำรุงสุขภาพ แม้ว่าจะอยู่ในรูปน้ำผลไม้แต่ด้วยสูตรเฉพาะและเทคโนโลยีการผสมผสานด้วยความเย็นภายใน จะยังคงไว้ซึ่งสารอาหารครบถ้วน ที่เราเรียกกันว่า น้ำโกจิ ซึ่งมีโมเลกุลหลักที่ร่างกายต้องการใช้เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดีมีอายุยืนยาว นอกจากทำน้ำผลไม้แล้ว ยังสามารถใช้เก๋ากี้ประมาณครั้งละ6-12 กรัม ต้มรับประทานน้ำหรือทำเป็นยาเม็ดลูกกลอน หรือดองเหล้าก็ได้ หรือเอาเก๋ากี้ต้มจนเปื่อยกรองเอากากออก ทำเป็นขนมรับประทานเป็นของว่าง หรือดื่มเก๋ากี้แทนน้ำชาก็ได้

     

    เก๋ากี้ยังสามารถเอามาใช้กับสมุนไพรหรือยาจีนอื่น ๆ เพื่อเสริมฤทธิ์ตัวยาอื่นให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากเอาเก๋ากี้มาใช้กับรังนก ในอัตราส่วน 1:2 ต้มรังนกก่อนแล้วนำมานึ่งรวมกัน เติมน้ำตาลกรวด ดื่มครั้งละถ้วย เล็ก ๆ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จะดีสำหรับผู้ที่มีอาการไอแห้ง มีอาการร้อนชื้นในตอนบ่าย เหงื่อออกผิดปกติยามหลับ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง หากคราวต่อไปต้องทำอาหารหรือเครื่องดื่มอย่าลืมนึกถึงเก๋ากี้ใช้เสริมสุขภาพสำหรับคนในครอบครัว.

     

    เก๋ากี้ - kohyohdo.com

     

     

    โรคที่เกี่ยวกับกระดูกนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่คุณจะละเลยไม่ได้ เพราะกระดูกก็เปรียบเหมือนเสาเข็มในการ เป็นหลักปักฐานที่สำคัญของกายเพื่อให้อวัยวะในส่วนของร่างกายในการเคลื่อนไหว

    การรักษาโรคทางกระดูกในปัจจุบันนอกจากการักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อแล้ว ยังมีศาสตร์ในแพทย์ทางเลือกอีกวิธีหนึ่งก็คือการรักษาแบบไคโรแพรกติก ที่อาจจะพอเป็นตัวช่วยสำหรับผู้ป่วยกระดูกและข้อ ให้อาการพอทุเลาลงได้บ้าง 
    ไคโรแพรกติกมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลว่า การรักษาด้วยมือซึ้งเป็นการแพทย์ของกรีดที่ประวัติยาวนานร่วมสองพันปี อย่างไรก็ตามศาสตร์ นี้ถูกค้นพบมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1895 โดย ดร.แดเนียล เดวิด ชาวแคนนาดา ซึ่งให้ความสนใจเรื่องกระดูก การทำงานของร่างกายและสามรถรักษาผู้ที่เป็นโรคหูหนวกมานานสำเร็จด้วยการใช้มือนวดและจัดกระดูกสันหลัง
    สำหรับไคโรแพรกติกก็ไม่เชิงเป็นการรักษาโรคกระดูกอย่างที่หลายคนเข้าใจเสียทีเดียว หากแต่เป็นการรักษาเส้นประสาทที่มีอยู่มากมายในกระดูก ระหว่างข้อกระดูก ซึ่งการรักษาเส้นประสาทเหล่านี้จำเป็นต้องรักษาด้วยการจัดกระดูกจึงเป็นที่มาของคำว่า นวดจัดกระดูก ในความเข้าใจของคนไทยนั่นเอง
    การรักษาแบบไคโรแพรกติกจะไม่มีการใช้ยา ใช้เข็มหรือผ่าตัดแต่อย่างใดแต่ใช้วิธี การรักษาด้วยมือแทน ซึ่งโดยปกติไคโรแพรกติกทำการรักษาความผิด ปกติของแง่โครงสร้างและการเคลื่อนไหวของร่างกายหรือการคลาดเคลื่อนจากตำแหน่งปกตอของกระดูกสันหลัง ด้วยการใช้มือจัดข้อกระดูกสันหลังและกระดูกเชิงกรานจากตำแหน่งที่ผิดปกติให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติเพื่อทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นปกติ รวมไปถึงการทำงานของระบบประสาท
    โดยมุ่งเน้นความสำคัญไปที่ 4 ส่วน ใหญ่ ๆ ของร่างกายได้แก่
    - กระดูกสันหลัง 
    - ระบบประสาท 
    - โครงสร้างของร่างกาย 
    - โภชนาการด้านอาหารและวิตามิน 
    โรคที่ผู้ป่วยมักเข้ารับการรักษาอาการแบบไคโรแพรกติก ส่วนใหญ่จะเป็นอาการเกี่ยวกับการปวดหลัง ปวดศีรษะไมเกรน ปวดแขน ชาตามแขนขา หมอนรองกระดูกเคลื่อน ตลอดจนอาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ อีกทั้งในผู้ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ยังพบว่าศาสตร์แห่งการนวดจัดกระดูกก็สามารถรักษาได้เช่นกัน
    อย่างไรก็ตามหมอนวดกระดูกหรือไคโรแพรกเตอร์ในเมืองไทยยังมีอยู่น้อยมาก อาศัยการบอกเล่าแบบปากต่อปากเสียมากว่า และไม่ถือเป็นสาขาหนึ่งของการแพทย์แผนปัจจุบันด้วย ดังนั้น จึงไม่มีใบประกอบโรคคศิลป์ในการรักษาคนไข้
    หากผู้ป่วยต้องการรักษาด้วยการนวดจัดกระดูกนี้จริง ๆ ก็คงได้ใช้ดุลยพินิจใคร่ครวญอย่างละเอียดและต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกับทางแพทย์ทางเลือกแขนงนี้เสียก่อน เพราะถึงแม้ในต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกาจะให้การยอมรับแต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ผลกับผู้ป่วยทุกราย

     

    ชมรมแพทย์ชนบท - นวดจัดกระดูกแบบไคโรแพรกติก

    อาการปวดนั้นเกิดขึ้นกับเราได้หลายรูปแบบครับเมื่อวานนี้คุณไปยกของหนักก็ปวด นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไปก็ปวด เป็นหวัดก็ปวด หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด

    แต่มีอาการปวดบางประเภทครับที่คุณไม่ควรมองข้ามและควรจะปรึกษาแพทย์โดยทันทีเพราะอาการปวดเหล่านั้น มันอาจจะบ่งบอกถึงสัญญาณอันตรายบางอย่างที่เราคิดไม่ถึง ดังต่อไปนี้ครับ

    ปวดศีรษะ

    อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง หรือปวดสุดๆเท่าที่เคยปวดมาเลยแบบนี้ ต้องพบแพทย์ครับ หากว่าคุณเป็นหวัดแล้วปวดสุด ๆ มันอาจจะมีสาเหตุมาจากไซนัสก็ได้

    หากไม่เป็นหวัด ก็อาจจะมีสาเหตุที่รุนแรง เช่น เลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมองก็เป็นได้ ซึ่งบางครั้งต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกายที่ละเอียด หรือ ต้องใช้เครื่องมือ เช่น CT Scan เพื่อช่วยการวินิจฉัยโรค

    ปวดหน้้าอก

    อาการปวด หรือแน่น อึดอัด บริเวณหน้าอก คอ ขากรรไกร ไหล่ แขน หรือ ท้อง (Pain or Discomfort in the Chest, Throat, Jaw, Shoulder, Arm, or Abdomen) อาการปวดแถวนี้เป็นได้จากหลายสาเหตุครับ โดยอาการปวดบริเวณหน้าอกอาจจะเกี่ยวเนื่องกับโรคหัวใจได้ แต่ควรระวังว่า ภาวะที่เกิดจากหัวใจนั้น โดยทั่ว ๆ ๆไปจะแสดงออกมาในรูปของอาการแน่น อีดอัด ไม่สบาย มากกว่าอาการปวดโดยผู้ป่วยโรคหัวใจจะอธิบายไว้ครับว่า เหมือนกับมีช้างมานั่งทับอยู่บนหน้าอกนั่นแหละ

    ส่วนตำแหน่งที่รู้สึกไม่สบายนั้น มักจะเป็นส่วนบนของหน้าอก คอ ขากรรไกร ไหล่ซ้าย หรือแขนครับ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เหงื่อออกท่วมตัว จะเป็นลม หน้าดูซีด แบบนี้ต้องรีบไปรพ.โดยด่วนเลยครับ บางครั้งอาจมีอาการปวดท้องก็มักจะเกิดขึ้นร่วมกันอาการคลื่นไส้ ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นอาการของโรคจากทางเดินอาหาร ( GI Distress) จริงๆแล้วเป็นอาการของกล้ามเนื้อหัวใจที่ผนังด้านล่างขาดเลือด

    แต่สำหรับอาการของผู้หญิงนั้น จะดูยากกว่าเพราะผู้ป่วยมักจะคิดว่าเป็นอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารเช่น ท้องอืด แน่น หรือ ความรู้สึกปั่นป่วนในท้อง มักไม่ค่อยคิดว่า ตนเองอาจมีโรคหัวใจ ส่วนใหญ่มักจะมีอาการเหนื่อยร่วมด้วย อีกทั้งโอกาสในการเป็นโรคหัวใจจะเพิ่มขึ้นมากในผู้หญิงวัยทอง ดังนั้นคุณผู้หญิงทั้งหลายต้องระมัด ระวังและอย่าไปนิ่งนอนใจเพราะคิดว่าอาการดังกล่าวเป็นเพียงแค่อาหารเป็นพิษเท่านั้น

    ปวดหลัง

    อาการปวดหลังส่วนล่างหรือ ระหว่าง สบัก ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะคิดว่าเป็นอาการของข้ออักเสบ (arthritis) กล้ามเนื้ออักเสบ แต่ก็สามารถจะเป็นอย่างอื่นได้อีก รวมทั้งโรคหัวใจ หรือ ปัญหาเกี่ยวกับช่องท้อง (Abdominal problems) ที่เป็นอันตรายอีกอย่างหนึ่งก็คือ Aortic Dissection คือเส้นเลือดใหญ่ที่ออกจากหัวใจมีการแยกชั้น ซึ่งอาการปวดอาจจะเป็นไปในลักษณะ ค่อยๆ ปวดเพิ่มขึ้น หรือ ปวดทันทีทันใดก็ได้ ผู้ที่มีความเสี่ยงมาก ก็คือ ผู้ที่มีโรคความดันสูง ผู้ที่สูบบุหรี่ และเป็นโรคเบาหวานโรคนี้อันตรายมากเช่นเดียวกัน ต้องรีบไปรพ.โดยด่วน

    ปวดท้้อง

    อาการปวดท้องอย่างรุนแรง (Severe Abdominal Pain) ถ้าหากไส้ติ่งของคุณยังอยู่ นั่นอาจะเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่สาเหตุของมันอาจจะเป็นอย่างอื่นอีกก็ได้เช่น ถุงน้ำดีอักเสบ ,ตับอ่อนอักเสบ ,กระเพาะทะลุ ,ลำไส้อุุดตัน โดยแต่่ละอย่างมีลักษณะที่พอแยกได้ดังนี้

    • ไส้ติ่งอักเสบ จะปวดท้องด้านขวา ล่าง ต่ำกว่าระดับของสะดือ อาจมีหนาว หรือมีไข้ เบื่ออาหาร กินข้าวไม่ลง
    • ตับอ่อนอักเสบ จะปวดใต้ลิ่นปี่ ร้าวไปหลัง ปวดมากๆ บางคนมีประวัติ ทานเหล้า เบียร์มาเยอะ แต่บางคนก็เกิดจากนิ่วจากถุงน้ำดีหล่นมาอุด พวกนี้จะไม่มีประวัติกินเครื่องดื่ม Alcohol
    • กระเพาะอาหาร พวกนี้ก็จะปวดใต้ลิ่นปี่ ร้าวไปหลังได้คล้ายๆ ตับอ่อนอักเสบ แต่ถ้าแค่กระเพาะอักเสบ อาการจะไม่รุนแรงมาก ปวดเฉพาะลิ้นปี่ ด้านล่างๆจะไม่ปวด คนไข้จะพอเดินได้ แต่ถ้ากระเพาะอาหารทะลุ พวกนี้จะปวดลิ้นปี่รุนแรง มักปวดด้านล่างร่วมด้วย ส่วนใหญ่มักล่างขวา แต่บางทีก็ปวดทั่วท้องเลย มักต้องหามมา เดินไม่ไหว
    • ลำไส้อุดตัน ส่วนใหญ่มักปวดเป็นพักๆ บีบๆ เหมือนอะไรวิ่งเป็นลูกๆในท้อง มีอาการ ไม่ถ่าย ไม่ผายลม มักมีประวัติเคยผ่าตัดช่องท้อง
    • ปวดขา

    อาการปวดบริเวณน่อง (calf)ที่จัดว่าอาการปวดบริเวณนี้เป็นอันตรายก็เพราะสาเหตุของมันอาจจะมาจากเส้นเลือดดำอุดตัน (deep vein thrombosis) หรือDVT ก็ได้โดยเส้นเลือดที่อุดตันนั้น สามารถเกิดขึ้นที่ deep veins ของขาได้ และโรคนี้เกิดขึ้นกับคนอเมริกันมากถึงปีละ 2 ล้านคน แล้ว ซึ่งที่เราอาจเคยได้ยินว่าคนที่นั่งเครื่องบินชั้น Economy Class แล้วเกิดเส้นเลือดดำอุดตัน ก็คือโรคนี้แหละครับและเมื่อมันเกิดขึ้น มันก็รบกวนการดำเนินชีวิตมากเสียด้วยและสิ่งที่เป็นอันตรายก็คือ ก้อนเลือดเล็ก ๆ ที่อุดตันนั้น สามารถที่จะหลุดออกและไปอุดที่อื่นแทนซึ่งหากเป็นจุดสำคัญ เช่นไปอุดเส้นเลือดในปอดก็เป็นอันตรายถึงชีวิต กลุ่มเสี่ยงของโรคนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคอ้วน คนท้อง รวมทั้ง ผู้ที่ต้องเดินทางนั่งอยู่ท่าเดียวนานๆ หรือพวกที่หลังผ่าตัด นอนนานๆ ไม่ค่อยได้ขยับตัว ขยับเขยื่อนร่างกาย บางครั้งอาการจะปรากฏออกมาให้เป็นในรูปของการบวม ตึงที่น่องแต่ไม่ปวด หรือทั้งปวดทั้งบวมบริเวณกล้านเนื้อน่องก็ได้

    ไม่เพียงแต่เส้นเลือดดำอุดตันที่อุดตันได้ เส้นเลือดแดงก็สามารถอุดตันได้เช่นเดียวกัน โดยจะมีอาการปวดที่ขา ปวดมาก จะมีอาการขาเย็นร่วมด้วย เย็นแบบรู้สึกได้เลย ขาจะดูซีด แบบนี้ก็ต้องรีบไปรพ.ด่วนเลย ไม่งั้นกล้ามเนื้อจะตาย

    ดังนั้นถ้าปวดท้องรุนแรง ต้องรีบพบแพทย์เลยครับ

    ปวดเท้้า

    อาการปวดร้อนที่เท้าและขา (Burning Feet or Legs) มีคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจำนวนมากไม่ได้รับการรักษา เพราะบางคนไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคดังกล่าว อาการนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งบ่งชี้ในเริ่มแรก โดยจะรู้สึก burning or pins-and-needles sensation ที่เท้าและขา นั่นเป็นการบ่งบอกว่า เกิดความเสียหายขึ้นกับเส้นประสาทเข้าแล้ว ในคนไข้ที่เป็นมากๆ โรคเบาหวานจะทำให้เส้นประสาทเสีย เกิดอาการชาที่เท้าแทน ทำให้คนไข้สามารถเดินเหยียบบุหรี่ได้โดยไม่รู้สึก บางครั้งเกิดเป็นแผลจนเน่าถึงรู้ตัวว่ามีแผลเพราะได้กลิ่นก็มี

    ปวดแปลกๆ

    อาการปวดแบบแปลก ๆ ที่อธิบายไม่ได้ (Vague, Combined, or Medically Unexplained Pains) จริง ๆ แล้วอาการปวดมีหลายแบบ บางคนอาจจะบอกว่า ปวดศีรษะแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ปวดท้องหรือปวดแขน แปลก ๆ อธิบายไม่ถูกหรืออาจจะมีอาการปวดหลายแบบผสมกัน

    อาการปวด อาจะเป็นอาการเรื้อรัง และ ไม่ได้รุนแรง การอธิบายออกมาไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าใจอาการผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีความเครียดดังนั้น ยิ่งถ้าคุณมีความเครียด หรือวิตกกังวลมากเท่าไหร่ ก็ให้พยายามอธิบายความรู้สึกให้มากเข้าไว้ อย่างไรก็ตาม อาจจะมีอาการในลักษณะอื่น ๆ ที่แสดงออกมาอีก และเมื่อไหร่ที่ควรจะมาพบแพทย์ ตัวคุณเองต้องลองสังเกตดูว่า อาการที่เกิดกับตัวคุณนั้นส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันหรือไม่ มันทำให้คุณไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้หรือเปล่าหรือมันทำให้คุณอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็ค เช็คให้รู้ว่าไม่มีอะไรผิดปกติก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย

     

    Thaiclinic.com I 7 อาการปวดที่ไม่ควรมองข้าม

     

    Alternative Medicine การแพทย์ทางเลือก
    Conventional Medicine การแพทย์แผนปัจจุบัน
    Integrated Medicine การแพทย์ผสมผสาน
    Wholistic Medicine การแพทย์แบบองค์รวม

     

    Acupressure

    การใช้มือและนิ้วมือ ในการกดจุดตำแหน่งที่สำคัญของร่างกาย เพื่อให้เกิดพลังชีวิตในการรักษาพยาบาล

    Acupuncture

    คล้ายกับการกดจุด แต่เป็นการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ คือ เข็ม ฝังลงในตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย เพื่อให้เกิดพลังไหลเวียนทั่วร่างกาย

    Aromatherapy

    เป็นการบำบัดรักษาด้วยน้ำมันหอมระเหยซึ่งได้จากพืช เพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย จะเป็นวิธีการรักษา ที่ใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ เช่น การนวด

    Ayurvedic Medicine

    เป็นการบำบัดรักษาที่มีรากฐานจากประเทศอินเดีย มานานกว่า 5,000 ปี เช่น การฝึกโยคะ (Yoga) และทำสมาธิ โดยอาจให้การรักษาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น สมุนไพรบำบัด การนวดด้วยน้ำมัน และกำหนดชนิดอาหารเพื่อการสลายพิษ จะนำไปสู่ความสมดุลของร่างกาย

    Body Work

    เป็นการบำบัดเพื่อให้เกิดการผ่อนคลาย โดยเฉพาะบนกล้ามเนื้อและกระดูก ด้วยวิธีการฝึกให้มีการเคลื่อนไหว ของร่างกายที่เหมาะสม เช่น การนวด (Message), จี้กง (Guigong), Reflexology, Shiatsu และ ไทเก๊ก (Tai Chi)

    Chinese Herbs

    การบำบัดด้วยสมุนไพรจีน จะใช้ร่วมกับการฝังเข็ม หรือการกดจุด เพื่อให้เกิดความสมดุลของร่างกาย

    Chiropractic

    เป็นการบำบัด โดยอาศัยหลักการที่ร่างกายสามารถบำบัดตนเอง และทำให้เกิดความสมดุล ซึ่งระบบประสาทของร่างกาย จะเป็นตัวควบคุมการบำบัดด้วยวิธีนี้ จะใช้มือบีบนวด บริเวณกระดูกสันหลัง ข้อต่างๆ และกล้ามเนื้อ เพื่อให้ระบบกล้ามเนื้อ ประสาท และกระดูก ทำงานได้อย่างราบรื่น

    Herbal Therapies

    เป็นการบำบัดด้วยการใช้พืชสมุนไพร ทั้งในรูปแบบธรรมชาติ และสารสกัดยาเตรียมต่างๆ เช่น เม็ด แคปซูล ขี้ผึ้ง หรือครีม เป็นต้น

    Homeopathy

    เป็นการบำบัดโดยอาศัยหลักการ "Liki Cure Like" สารที่เป็นต้นเหตุของอาการเจ็บป่วย ในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง จะเป็นที่บำบัดอาการเดียวกัน ที่เกิดขึ้นในคนไข้ เป็นการเตรียมที่เจือจางในผู้ที่แข็งแรงแล้วสังเกตผลปรับเปลี่ยนยาเตรียมให้เหมาะสม

    Hydrotherapy

    การบำบัดด้วยน้ำ (ธาราบำบัด) โดยใช้น้ำแข็ง ของเหลว และไอน้ำ เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ ของการติดเชื้อ อาการปวดเรื้อรัง และเฉียบพลัน ปัญหาการไหลเวียนของโลหิตและอื่นๆ การรักษาจะหมายรวมถึง การห่อหุ้ม การใช้สเปรย์ การสวนล้าง การอบไอน้ำและซาวน่า รวมถึงการใช้ทั้งความร้อนและความเย็น

    Mind/Body Medicine

    จะเป็นการบำบัดด้วยหลายๆ วิธี ที่เชื่อมโยงระหว่างจิตใจ และร่างกาย ซึ่งมีอิทธิพลต่อระบบฮอร์โมน ประสาท และภูมิคุ้มกัน เช่น การสะกดจิต การฝึกสมาธิ โยคะ ฯลฯ

    Naturopathic Medicine

    การบำบัดโดยอาศัยหลักการ สรีระและจิตใจ สามารถรักษาโรค 
    ซึ่งผู้ให้การรักษาจะใช้วิธีต่างๆ เช่น Homeopathy, Herbal Remedies การใช้สมุนไพรจีน, Spinal Manipulation, โภชนาการ, Hydrotherapy, การนวด และการออกกำลังกาย ในการรักษาโรค

    Nutrition and Diet

    การบำบัดด้วยโภชนาการ หรืออาหาร เป็นการควบคุมชนิดของอาหารที่รับประทาน ตามโรคที่เป็น

    Osteopathy

    การบำบัดโดยการแก้ไขปัญหาของระบบกล้ามเนื้อ และกระดูก เพื่อให้ร่างกายสามารถทำตนได้ปกติ วิธีการรักษานี้ จะใช้ร่วมกับการบำบัดปัจจัยทางจิต รูปแบบความเป็นอยู่ และโภชนาการ เพื่อขจัดความเจ็บป่วยและทำให้มีสุขภาพดี ผู้ทำการรักษาจะต้องสำเร็จวิชาชีพแพทย์ และได้รับการฝึกฝนต่อ ในสาขานี้ ซึ่งจะเป็นการแพทย์แผนปัจจุบัน

     

    ที่มา: thailabonline.com

     รูป ภาพ: การรักษาแบบองค์รวม ไม่ได้มองแค่จุดที่ปวด แต่มองว่าร่างกายทุกส่วนสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันหมด ฉะนั้นการรักษาก็ต้องรักษาทั้งระบบ

     

    การฝังเข็ม เป็นการกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีขึ้น เมื่อหลอดลมผ่านได้คล่องอาการเจ็บปวดต่างๆ ก็ค่อยๆหายไปเพราะร่างกายของคนเราถึงแม้ว่าเราจะบอกได้ว่าปวดเฉพาะที่จุดใดจุดหนึ่ง แต่การรักษาแบบองค์รวม ไม่ได้มองแค่จุดที่ปวด แต่มองว่าร่างกายทุกส่วนสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันหมด ฉะนั้นการรักษาก็ต้องรักษาทั้งระบบ

    แพทย์จะใช้เข็มเล็กๆ ปักลงไปบนตำแหน่งจุดต่างๆของร่างกายแล้วกระตุ้นโดยการใช้นิ้วมือหมุนปั่นหรือใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า เพื่อกระตุ้นระบบประสาทของร่างกาย ช่วยทำให้อวัยวะต่างๆ สามารถทำงานได้สมดุลเป็นปกติจึงสามารถรักษาโรคและบรรเทาอาการผิดปกติต่างๆได้ โดยทั่วไปแพทย์จะปักเข็มคาเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงถอนเข็มออก การเลือกเข็มมาใช้ต้องให้เหมาะกับสรีระและตำแหน่งที่จะฝังเข็มเป็นหลักเพราะถ้าหากใช้เข็มที่ไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยแล้ว เวลาฝังในจุดต่างๆ อาจเกิดอันตราย และเข็มที่ใช้ก็ต้องผ่านการฆ่าเชื้อใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง เพื่อให้ผู้ป่วยหรือผู้รับบริการมีความปลอดภัยมากขึ้น ความแตกต่างของการฝังเข็มแบบสมัยใหม่กับการฝังเข็มแบบดั้งเดิม คือ

    • การฝังเข็มแบบสมัยใหม่ โดยปกติแล้วจะใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ต่ำ เพื่อกระตุ้นการรักษา วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายมากโดยปกติแล้วหลังจากการฝึกอบรมมาแล้ว 3 เดือน นักฝังเข็มสามารถใช้วิธีนี้ในการรักษาผู้ป่วยได้ทันที แต่ว่าผลที่ออกมาอาจไม่ได้ผลดีที่สุด
    • วิธีฝังเข็ม แบบดั้งเดิม ต้องมีพื้นฐานที่ดีตามหลักทฤษฎีและปรัชญาของจีน รวมไปถึงจะต้องรู้หลัก ของ “ไทเก็ก” “หยินหยาง” “ธาตุทั้ง 5” “ปากั้ว” และวงจรการไหลเวียนของเลือด นักฝังเข็มจำเป็นจะต้อง “ชี่กง” และรู้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นพลังงานภายในที่สามารถถ่ายทอดสู่ผู้ป่วยอย่างได้ผลเต็มที่ การรักษาโรคด้วยการฝังเข็มเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพและได้ผลดีสำหรับการ บรรเทาการเจ็บปวดของโรคต่างๆโดยไม่ส่งผลข้างเคียงต่อผู้ป่วย
    • ที่โรงพยาบาลปิยะเวท นักฝังเข็มได้ใช้วิธีนี้ ช่วยผู้หญิงที่คลอดบุตรยาก ให้คลอดง่ายและสุขภาพแข็งแรง
    • การรักษาด้วยการฝังเข็มสามารถช่วยได้ในกรณี ของผู้หญิงที่เป็นหมันให้สามารถมีบุตรได้ รวมถึง โรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ ปวดหัวเข่า ข้อเข่าเสื่อม ข้อหัวไหล่ติด

    ศูนย์การแพทย์แผนจีน การฝังเข็ม และ สมุนไพรจีน โรงพยาบาล ปิยะเวท กรุงเทพ

    โรคที่สามารถรักษาได้ด้วยการฝังเข็ม

     

    องค์การอนามัยโลก ระบุว่าโรคมีหลายชนิด หลายกรณีที่สามารถทำการรักษาได้โดยแพทย์แผนจีน โดยโรคและอาการที่พบบ่อยๆ มีดังนี้

    • อัมพาต อัมพฤกษ์ แขน-ขาอ่อนแรง
    • ป้องกันเส้นเลือดสมองตีบตัน เส้นเลือดสมองแตกเกิดอัมพาต อัมพฤกษ์
    • ปวดศีรษะ
    • นอนไม่หลับ เครียด วิตกกังวล
    • ท้องผูก
    • โรคบริเวณใบหน้า ปวดสามแฉก บริเวณใบหน้าครึ่งซีก หนังตาไม่ปิด ปากเบี้ยว หน้าชา อัมพฤกษ์ ใบหน้าครึ่งซีก หน้ากระตุก ปวดกราม ขากรรไกรค้าง อ้าปากไม่ขึ้น
    • โรคกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อ กระดูก และปลายประสาทชา กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดข้อรูมาตอยด์ ชาปลายมือ ปลายเท้า ตะคริว ปวดหลัง ปวดร้าวชาด้านหลัง ด้านข้างขวา ชานิ้วเท้า ปวดตะโพก ข้อตะโพกเสื่อม ปวดหัวเข่า เข่าบวม ข้อหัวเข่าเสื่อม ปวดบวมข้อเท้า ข้อเท้าพลิก
    • หอบหืด
    • ปวดทรวงอก
    • ปวดจากมะเร็ง เนื้องอก ปวดแผลผ่าตัด
    • ท้องเสีย ลำไส้อักเสบเรื้อรัง
    • แพ้ท้อง อาเจียน ทานอาหารไม่ได้
    • เบาหวาน และภาวะแทรกซ้อน ปลายเท้าคล้ำดำ ชาปลายมือปลายเท้า
    • ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
    • ลดความอ้วน ลดความอ้วนหลังคลอด ลดไขมันเฉพาะที่ตะโพก ต้นขา น่อง ต้นแขน ท้องแขน
    • เพิ่มน้ำหนัก คนผอม ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
    • บำรุงสุขภาพคนในวัยเรียน วัยทำงาน และผู้สูงอายุ
    • ลมบ้าหมู
    • บวมน้ำ
    • โรคผู้สูงอายุ สั่นกระตุก พาร์กินสัน หลงลืม ความจำเสื่อม โรคอัลไซเมอร์
    • โรคสูติ-นรีเวช ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ ช้า เร็ว มาไม่แน่นอน ประจำเดือนไม่มา มดลูกหย่อน ชำรั่ว ก้อนเนื้อเต้านม
    • วัยทอง ทั้งหญิงและชาย
    • มีบุตรยาก
    • เสื่อมสมรรถภาพทางเพศู
    • โรคภูมิแพ้
    • ลบรอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นใต้คาง ท้องแขน ฝ้า กระ สิว ผมร่วง เส้นเลือดขอด
    • ปวดเมื่อยล้าอ่อนเพลียเรื้อรัง

    ศูนย์การแพทย์แผนจีน การฝังเข็ม และ สมุนไพรจีน โรงพยาบาล ปิยะเวท กรุงเทพ

    เจ้าตำรับยาอายุวัฒนะอย่างชนชาติจีน  มีสมุนไพรหลายชนิดที่ผู้หญิงจีนนิยมนำมากินเพื่อประทินโฉมและบำรุงร่างกาย  มีขายตามร้านขายยาสมุนไพรจีนทั่วไป

    โสม เป็นสมุนไพรที่มีราคาแพงมาก  เพราะปลูกยากและต้องใช้เวลาเลี้ยงดูนาน  3-7 ปีขึ้นไป  จึงจะเอามาทำยาได้  ส่วนที่นำมาใช้ก็คือราก  มีกลิ่นหอมอ่อนๆ  รสหวาน  ชุ่มคอคล้ายรากชะเอกเทศ  แพทย์จีนเชื่อในสรรพคุณว่าโสมช่วยบำรุงพลังชีวิต  ปอด  ม้าม  แก้อาการเหงื่อออกมาก  หัวใจเต้นเร็ว  นอนไม่หลับ  ความจำเสื่อม  ฯลฯ  แพทย์ปัจจุบันพบว่า  ในรากโสมมีสารชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน  ช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังสดชื่นเปล่งปลั่ง  ไม่เหี่ยวแห้งหรือแตกเป็นขุย  มีสารต้านอนุมูลอิสระ  ชะลอความเสื่อมของร่างกาย  คนจีนจึงเชื่อว่ากินโสมแล้วอายุยืนนั่นเอง

    ตังกุย แพทย์จีนมักจะจัดตังกุยให้หญิงวัยทอง  เพราะเชื่อว่ามีธาตุอุ่น  สรรพคุณบำรุงโลหิต  กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต  ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปรกติ  แก้ปวดประจำเดือน  ลดอาการร้องวูบวาบ  เพิ่มเม็ดเลือดสำหรับผู้หญิงที่โลหิตจาง  อีกทั้งยังบำรุงตับและม้ามด้วย

    ไข่มุก นอกจากจะกินเพื่อความงามแล้ว  ชาวจีนยังใช้ไข่มุกในการรักษาโรคต่างๆ  หลายโรค  แม้จะไม่มีผลพิสูจน์ทางการแพทย์ออกมาแน่ชัดว่าไข่มุกมีสรรพคุณรักษาโรคได้จริง  แต่ก็ยังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิงจีน  ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส  แต่ก็มีข้อบ่งใช้ว่าหญิงสาวที่ยังไม่มีลูกไม่ควรกินเกินปีละ  4 ตำลึง  เนื่องจากจะทำให้มดลูกบีบตัวและมีบุตรยาก

    หอสิ่วโอว จัดว่าเป็นยาบำรุงชั้นดีของคนจีน  มีสรรพคุณช่วยบำรุงตับ  บำรุงไต  บำรุงเลือด  แก้ปัญหาผมหงอกก่อนวัย  กล้ามเนื้อและผิวหนังเหี่ยวแห้ง  ถ้ากินเป็นประจำจะทำให้หน้าตาแจ่มใส  มีน้ำมีนวล  ผมดกดำสลวยไม่แห้งแตกปลาย

    แปะฮวยแปขี่เฉ้า จัดเป็นยาถอนพิษขนานหนึ่งของจีนซึ่งนิยมใช้มาตั้งแต่โบราณใช้ถอนพิษได้หลายชนิด  เช่น  พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย  พิษจากพืชบางชนิด  เป็นต้น

    จิงจูฉ่าย  เป็นผักชนิดหนึ่ง  กลิ่นหอม  แพทย์จีนเชื่อว่าเป็นยาเย็น  ช่วยแก้ไขได้  ความเย็นของจิงจูฉ่ายยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงปอด  ช่วยฟอกเลือก  ทำให้เลือดอุ่นและไหลเวียนได้ดี  คนจีนจึงนิยมนำผักชนิดนี้มาประกอบอาหารกินกันในหน้าหนาว

    กระเพาะปลา ในกระเพาะปลาพบว่ามีสารคาซิเลต  ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง  แม้จะยังไม่เป็นที่ประจักษ์ว่าสารนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร  (เช่นเดียวกับหูฉลาม)  แต่คนจีนก็เชื่อว่าทำให้ร่างกายอบอุ่น  เลือดลมไหลเวียนดี  มีพละกำลัง  จึงนิยมกินในหน้าหนาวเช่นกัน  จัดเป็นอาหารบำรุงร่างกายชั้นดีชนิดหนึ่ง

    นอกจากการพักผ่อนให้เพียงพอ  กินอาหารที่มีประโยชน์  หลีกเลี่ยงปัจจัยหรือพฤติกรรมที่สงสัยว่าทำให้เกิดปัญหาผิวพรรณด้วยตัวเองแล้ว  การวินิจฉัยและแก้ไจที่ถูกต้องแม่นยำอาจต้องพบผู้เชี่ยวชาญค่ะ

     

    สมุนไพรจีน บำรุงความงามจากภายใน - For Mum And Me