คำถามแรก เกี่ยวกะเลข
ต้องคิดในใจเท่านั้น
"ห้ามใช้กระดาษ ปากกา หรือเครื่องคิดเลขเด็ดขาด"

Take 1000 and add 40 to it. Now add another 1000. Now add 30. Add another 1000. Now add 20. Now add another 1000. Now add 10. What is the total?

มีอยู่ 1000 แล้วเพิ่มเข้าไปอีก 40 แล้วเพิ่มอีก 1000 แล้วเพิ่มอีก 30 แล้วเพิ่มอีก 1000 แล้วเพิ่มอีก 20 แล้วเพิ่มอีก 1000 แล้วเพิ่มอีก 10 รวมแล้วได้เท่าไหร่
Answer : Did you get 5000? The correct answer is actually 4100.
Don't believe it? Check with your calculator!
Today is definitely not your day.

คำตอบ: ได้ 5000 รึเปล่า? คำตอบที่ถูกต้อง คือ.... 4100
เชื่อมั้ย ลองเช็คคำตอบด้วยเครื่องคิดเลขสิ!
วันนี้ไม่ใช่วันของคุณจริงๆ
Second Question:
คำถามที่ 2
You are participating in a race. You overtake the second person. What position are you in?

คุณกำลังวิ่งแข่งอยู่ คุณแซงคนที่ 2 ได้! ตอนนี้คุณอยู่อันดับที่เท่าไหร่
Answer: If you answered that you are first, then you are absolutely wrong! If you overtake the second person and you take his place, you are second!

คำตอบ: ถ้าตอบว่าอับดับแรก ผิด!!!! ถ้าคุณแซงที่ 2 ได้ คุณก็ต้องเป็นที่ 2 แทนเขาซิ!

Left your brains at home?

ลืมสมองไว้บ้านรึไง?
Third Question:

คำถามที่ 3

If you overtake the last person, then you are...?

ถ้าคุณแซงคนสุดท้ายได้ แล้วคุณจะอยู่อันดับ....?
Answer: If you answered that you are second to last, then you are wrong.
Again. Tell me, how can you overtake the LAST person?!

คำตอบ: ถ้าคุณตอบว่าอันดับรองบ๊วย คุณก็ผิดอีกแล้ว
ไหนบอกซิ คุณจะแซงคน "สุดท้าย" ได้ยังไง?!

Intellectual Vomit!
โง่นิ ขอบอก
Maybe you will get the last question right?

คำถามสุดท้าย จะถูกมั้ยเนี่ย?

Mary's father has five daughters: 1. Nana, 2. Nene, 3.Nini, 4. Nono.
What is the name of the fifth?

พ่อของแมรี่มีลูกสาว 5 คน: 1. Nana 2.Nene 3.Nini 4. Nono
ถามว่าคนสุดท้องชื่ออะไร?
Answer: Nunu?
คำตอบ: Nunu?

NO! Of course not.
Her name is Mary. Read the question again.
ผิด!!!!! ไม่ช่าย....
เธอชื่อแมรี่ตะหาก ลองอ่านคำถามอีกหนดิ

I'm shy to be your friend!

เราอายที่เป็นเพื่อนกับคุณนะ!



ไม่ต้องคิดมากนะคะ เล่นๆกัน



ที่มา : http://www.thaireaderclub.com/

1. บุคลิกภาพของคุณเป็นอย่างไร?
( I ) ชอบสันโดษ, คิดก่อนทำ, มีแรงบันดาลใจหรือความคิดจากตัวเองเป็นใหญ่
( E ) ชอบเข้าสังคม, ชอบไปงานสังสรรค์, ทำก่อนคิด, มีแรงบันดาลใจหรือความคิดจากคน. สิ่งของ, สิ่งแวดล้อมเป็นส่วนใหญ่

2. เมื่อคุณมีข้อมูลที่ต้องพิจารณา คุณจะพิจารณาข้อมูลเหล่านั้นอย่างไร?
( S ) ดูถึงรายละเอียดของข้อมูล, ดูถึงปัญหาปัจจุบัน, ดูถึงหลักความเป็นจริง
( N ) ดูถึงภาพรวมหรือข้อสรุปของข้อมูล, คาดการณ์ล่วงหน้า, ดูถึงความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้น

3. คุณใช้อะไรในการตัดสินใจกับปัญหา? (โดยสัญชาตญาณของคุณ)
( T ) ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ, ใช้หลักตรรกวิทยาความถูกต้อง, คิดถึงผลที่จะตามมาจากการตัดสินใจ
( F ) ใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ, ตัดสินใจจากความชอบ, ความต้องการ, คิดถึงความต้องการและการตอบสนองของตน

4. คุณมีวิธีการดำเนินชีวิตอย่างไร?
( J ) ชอบวางแผนในการใช้ชีวิตประจำวัน, ชอบตั้งเป้าหมาย ระยะเวลา วันที่ในการทำ, ชอบตัดสินใจเพื่อให้จบปัญหา
( P ) ยอมรับการเปลี่ยนแปลงกับสิ่งรอบตัว, ไม่ยึดติด, มีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์, รับฟังความคิดผู้อื่น

เรียง ๆ คำตอบเอาไว้ เดี๋ยวจะเฉลย






คำเฉลย

ISTJ - The Duty Fulfiller " ผู้สำเร็จ "
- มีสมาธิสูง, เงียบ, เป็นคนรักครอบครัว
- ละเอียด, จริงจัง และ ไว้ใจได้
- ทำงานหนัก, เจ้าระเบียบ และ มีความรับผิดชอบสูง
- อาจจะทำให้ถูกเอาเปรียบได้ เพราะความที่เขาซื่อสัตย์และเป็นที่พึ่งได้
- ไม่เก่งเรื่องของความรู้สึก
ISTP - The Mechanic " ช่างเครื่อง "
- เงียบ, ชอบผจญภัยและ กีฬา
- ชอบเสี่ยง, เป็นตัวของตัวเอง, แก้ปัญหาเก่ง
- มองโลกในแง่ดีแต่อาจโกรธง่ายตอนเครียด
- ปกติไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรให้คนอื่นอยู่ ทั้งดีและไม่ดี
ISFJ - The Nurturer " ผู้ดูแล "
- เงียบ, ใจดี, มีสติ
- มีความรับผิดชอบ แก่ภาระและหน้าที่
- คิดถึงคนอื่นก่อนตัว, จำคนเก่ง
- เสียกำลังใจเมื่อถูกวิจารณ์
- ชอบเก็บความรู้สึกไว้กับตัวเอง
ISFP - The Artist " ศิลปิน "
- เงียบ, ใจดี, จริงจัง และ อ่อนไหว
- ไม่ชอบการโต้แย้ง, ไม่ชอบระเบียบ
- ความคิดสร้างสรรค์ และ ไม่เหมือนใคร, รักขอบสวยของงาม
- เข้าใจยาก, เปิดเผยตัวเองกับคนใกล้ชิดเท่านั้น
- ใช้ชีวิตอย่างจริงจัง
INFJ - The Protector " ผู้ป้องกัน "
- ความคิดสร้างสรรค์, อ่อนไหว, เป็นตัวของตัวเอง
- เก่งเรื่องคน และ สถานการณ์
- เป็นคนลึกซึ้ง, ซับซ้อน, ชอบความเป็นส่วนตัว
- เข้าใจยาก, มีความมั่นใจในตัวเองสูง, ดื้อรั้นต่อความคิดของผู้อื่น
- ไม่ชอบการโต้แย้ง
INFP - The Idealist " นักอุดมการณ์ "
- เงียบ, ซื่อสัตย์, ชอบอุดมการณ์
- ชอบช่วยเหลือ และ เข้าใจคนอื่น
- ไม่ชอบการโต้แย้ง
- ซื่อสัตย์ต่อตนเอง
- มีความคิดสร้างสรรค์
INTJ - The Scientist " นักวิทยาศาสตร์ "
- ฉลาด, มุ่งมั่น, ไม่เหมือนใคร
- เป็นผู้นำที่ดี, มีความมั่นใจสูง, มองการณ์ไกล
- ชอบคิดคนเดียว และ ชอบอยู่คนเดียว, ชอบด่วนสรุป,ไม่ชอบรายละเอียด, คิดว่าตนเองถูกเสมอ
- บอกความรู้สึกไม่เก่ง, จะมีปัญหากับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด
INTP - The Thinker "นักคิด "
- ความคิดสร้างสรรค์, เป็นตัวของตัวเอง, มีเหตุมีผลและมีความสามารถสูง
- ไม่อยากถูกนำหรือนำคนอื่น, ไม่ชอบระเบียบ
- ใช้เวลาในหัวตัวเองมาก, ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
- เงียบ, ไม่ค่อยรู้ว่าคนอื่นรู้สึกยังไง
- มีอารมณ์ซับซ้อน, ไม่อยู่นิ่ง และ แปรปรวน
ESTP - The Doer " ผู้กระทำ "
- เป็นมิตร, ยืดหยุ่นง่าย, เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นเก่ง
- ไม่ชอบคำอธิบาย แต่ต้องการแค่ผลลัพธ์
- ใช้ชีวิตที่สนุกสนาน จึงทำให้ผ่านไปเร็ว
- รักสนุก, สามารถทำร้ายจิตใจผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
- ไม่ชอบเคารพกฎระเบียบ
- เบื่อง่าย
ESTJ - The Guardian " ผู้พิทักษ์ "
- มีระเบียบ, ซื่อตรง, ตรงไปตรงมา
- มีความมั่นใจในตัวเอง, มีความสามารถ, ทำงานหนัก , เป็นผู้นำ
- ชอบความปลอดภัย และ ความสงบสุข
- บอกความรู้สึก และ ความห่วงใยไม่เก่ง
ESFP - The Performer " ผู้แสดง "
- อยู่คนเดียวในโลกไม่ได้, มีมนุษยสัมพันธ์ดี, รักสนุก และทำงานเป็นทีมได้ดี
- มองโลกในแง่ดี, ต้อนรับทุกคน แต่ก็เกลียดทุกคนได้เหมือนกัน
- ไม่ชอบงานประจำ, คิดมากเวลาเครียด
- รักสวยรักงาม
ESFJ - The Caregiver " นักใส่ใจ
- มีน้ำใจ , คนชอบ , มีสติ , มีความรับผิดชอบ
- เก่งเรื่องคน , เข้าใจ, สนใจ และ ปรับตามคนได้
- ชอบให้คนชอบ, ชอบบริการผู้อื่นก่อนตนเอง
- รักสงบ และความปลอดภัย, ไว้ใจได้, กระตือรือร้น
- อ่อนไหว, ต้องการการเห็นด้วยจากผู้อื่น
ENFP - The Inspirer " ผู้มีแรงบันดาลใจ "
- มีความคิดสร้างสรรค์, กระตือรือร้น, ยืดหยุ่น
- ต้อนรับไอเดียใหม่ ๆ เสมอ แต่จะเบื่อกับรายละเอียด
- มีมนุษยสัมพันธ์ดี, ชอบให้คนชอบแต่ก็สามารถหลอกใช้ผู้อื่นได้ด้วย
- เป็นคนร่าเริง และชอบเป็นอิสระ
ENFJ - The Giver " ผู้ให้ "
- มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก, ห่วงใยความรู้สึกของผู้อื่นเสมอ
- ไม่ชอบอยู่คนเดียว, ต้องการอยู่กับผู้อื่นตลอดเวลา
- มีความสามารถที่จะทำในสิ่งที่เขาชอบหลาย ๆ อย่าง
- มีความมั่นใจในตัวเอง, เจ้าระเบียบ
ENTP - The Visionary " ผู้มีวิสัยทัศน์
- มีความคิดสร้างสรรค์, ฉลาด , แก้ปัญหาเก่ง
- ชอบไอเดียใหม่, ไม่ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ
- ชอบคุย, คุยเก่ง, หัวไว
- ไม่สนใจเรื่องความรู้สึก แต่เพียงจะให้งานสำเร็จ
- บางครั้งอาจจะเคร่งครัดกับคนรอบข้าง
ENTJ - The Executive " ผู้บริหาร "
- เป็นผู้นำตั้งแต่เกิด, พูดต่อหน้าคนเก่ง, ฉลาด, มีความรู้
- เห็นความสำคัญในความรู้ และ ความสามารถ,ไม่มีความอดทนกับคนทำงานไม่เก่ง
- แก้ปัญหาเก่ง, สามารถเข้าใจปัญหาซับซ้อน
- เจ้ากี้เจ้าการ, ไม่มีความอดทน, เด็ดขาด, น่าเกรงขาม


ที่มา : http://www.thaireaderclub.com/

การผ่อนคลายด้วยกลิ่น ใช้ประสาทสัมผัสทางจมูก เราสามารถหาได้จากน้ำมันหอมระเหย เทียนหอม ธูปหอม สบู่หอม เกลือหอม น้ำตาลขัดผิว ดอกไม้สด ผลไม้ ฯลฯ เลือกได้ว่าคุณชอบกลิ่นแบบไหน กลิ่น นับเป็นการสร้างบรรยากาศที่นิยมมากที่สุด นอกจากผ่อนคลาย ยังทำให้สามารถสร้างพลังความกระปรี้กระเปร่าได้ เกิดสมาธิ เกิดความคิดสร้างสรรค์ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่อ่อนล้า ฟื้นฟูสภาพจิตใจที่เฉื่อยชาให้กระปรี้กระเปร่า

น้ำมันหอมระเหยนี้มีมาตั้งแต่โบราณ ชาวอียิปต์ใช้ทำมัมมี่เพื่อฆ่าเชื้อโรคไปพร้อมๆ กับไม่ให้มีกลิ่นเหม็นเน่า ชาวกรีกโบราณเชื่อว่าไวน์ที่มีกลิ่นหอม ทำให้เมาน้อยลง จึงใส่กลิ่นที่ช่วยผ่อนคลายลงไปด้วย เช่นกลิ่นกุหลาบ กลิ่นดอกไวโอเล็ต

ชาวอิสลามนิยมนำน้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบ และมัสก์ ผสมปูนก่ออิฐ สร้างกำแพงสุเหร่า เพื่อให้มีกลิ่นหอมในยามเที่ยงวัน

ชาวอินโดนีเซียนำน้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรหอม กลีบดอกไม้ โปรยลงบนเตียงของคู่วิวาห์ ประเทศไทยก็มีกลีบกุหลาบ โปรยให้เห็นกันเป็นส่วนใหญ่

เราสามารถใช้น้ำมันหอมระเหยนี้ทั้งสูดดม และให้ซึมซาบผ่านผิวหนัง โมเลกุลน้ำมันหอมระเหย มีขนาดเล็ก พอที่จะซึมผ่านผิวหนังได้โดยตรง การใช้น้ำมันหอมระเหยดีๆ สักขวด อาจจะแพง แต่เป็นการลงทุนที่ดี น้ำมันหอมระเหยที่ดีควรสกัดมาจากธรรมชาติแท้ๆ จึงจะมีสรรพคุณทางอโรมา สรรพคุณนี้ เป็นทั้งผลที่เห็นชัดเจน และผลที่ต้องอาศัยความเชื่อ เพราะเป็นเรื่องทางจิตใจ การให้ผลทางจิตใจนี้ แตกต่างกันออกไปทั้งตัวน้ำมันหอมระเหยเอง และความชอบส่วนบุคคล ลองเลือกดูตามตัวอย่างทีมีขายทั่วไปในประเทศไทย เช่น

น้ำมันหอมระเหยจากมะกรูด (Bergamot) มีประสิทธิภาพในการทำให้จิตใจเบิกบาน ข้อควรทราบคือ น้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดไวต่อแสงอาทิตย์มาก หากนำมาทาผิว จะทำให้ผิวไหม้ง่ายขึ้น จึงต้องระวังมากขึ้นหากใช้กลางแจ้ง ต้องเจือจาง ด้วยการผสมน้ำมันทั่วไปก่อนใช้ในการอาบ หรือนวด หรือทาหยดลงผ้าแทนหากต้องการเพียงกลิ่น

น้ำมันหอมระเหยจากมะนาว (Lemon) มีสรรพคุณในการช่วยสมานแผลต่างๆ ช่วยทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า สามารถใช้ในการอาบน้ำ นวดคลายกล้ามเนื้อ ช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผม สิ่งที่ต้องระวังคือไวต่อแสงแดดเหมือนกับมะกรูด ที่อาจทำให้ผิวหนังไหม้ได้

น้ำมันหอมระเหยจากส้ม (Orange) มีคุณสมบัติทำให้จิตใจเบิกบานและอารมณ์เย็น ช่วยบำรุงผิวพรรณ และเส้นผมให้แข็งแรง จึงเหมาะสำหรับอาบน้ำนวดเส้นผม และนวดตัวคลายกล้ามเนื้อ ข้อควรระวังคือการไวแสงเช่นกับมะกรูดและมะนาว

น้ำมันหอมระเหยจากต้นชา (Tea Tree) ชาวอะเบอริจิ้นส์ในออสเตรเลีย ใช้น้ำมันหอมระเหยนี้เป็นเวลานานหลายศตวรรษแล้ว เพราะมีสรรพคุณยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ใช้ทำความสะอาดแผลได้ ช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื่นนิ่มนวลจึงเหมาะแก่การอาบน้ำ และเหมาะเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้มีปัญหาโรคผิวหนัง เป็นสิว ขจัดรังแคในเส้นผม ในด้านจิตใจ ทำให้ช่วยพัฒนาความคิดเชิงบวก (เรื่องดีๆ ) และส่งเสริมสร้างความมั่นใจให้เพิ่มขึ้น

น้ำมันหอมระเหยจากดอกกระดังงา (Ylang Ylang) ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ปรับสภาพสีผิวให้ เหมาะสำหรับการอาบน้ำ นวดคลายกล้ามเนื้อ บำรุงรักษาผิวพรรณและเส้นผม

น้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบ (Rose) มีสรรพคุณในการช่วยยับยั้งการเสื่อมของผิวพรรณ และดีต่อผิวที่แห้งเป็นพิเศษ ช่วยผ่อนคลายความเครียด ฟื้นฟูความมั่นใจ สามารถใช้อาบน้ำ นวดคลายกล้ามเนื้อ บำรุงผิวพรรณ แม้น้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบจะราคาสูงมาก เพราะต้องใช้กลีบกุหลายจำนวนมาก แต่สรรพคุณก็สูงตามด้วย

น้ำมันหอมระเหยจากสน (Pine) ช่วยลดอาการเลือดคั่ง และปรับสภาพสีผิว ส่งผลดีที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่นโรคหวัด เหมาะที่จะใช้สูดดม อาบน้ำ นวดคลายกล้ามเนื้อ ฉีดพ่นให้มีกลิ่นหอม และยังสามารถบำรุงเส้นผมได้ดีอีกด้วย

น้ำมันหอมระเหยจากสะระแหน่ (Peppermint) เป็นน้ำมันหอมระเหยชนิดที่ให้พลังงาน ยับยั้งเชื้อโรค และบรรเทาอาการเจ็บปวด เหมาะสำหรับใช้ในการอาบน้ำ นวดคลายกล้ามเนื้อบำรุงผิวพรรณ และเส้นผม ในสตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์

น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (lemon Grass) เป็นน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยชูกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง มีสรรพคุณในการยับยั้งการติดเชื้อโรค ป้องกันแบคทีเรีย ฉีดช่วยสร้างอากาศบริสุทธิ์ (ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์) สามารถไล่แมลงโดยไม่ใช้สารเคมี ใช้ทาถูสองขมับเพื่อลดการปวดหัวได้ด้วย แต่ต้องระวังในเรื่องการระคายเคืองของผิวหน้า

น้ำมันหอมระเหยจากมะลิ (Jasmine) มีสรรพคุณในการช่วยระงับพิษ และอาการทางกล้ามเนื้อ อาการตึงเครียดของกล้ามเนื้อ บรรเทาความเจ็บปวด แต่อาจทำให้ระคายเคืองตาได้ง่าย และไม่ควรใช้ขณะตั้งครรภ์

น้ำมันหอมระเหยจากยูคาลิปตัส (Eucalyptus) มีสรรพคุณในการต่อต้านเชื้อโรค ป้องกันการแพร่ระบาดเของเชื้อโรค ลดอาการแน่นหน้าอก ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้นสำหนับผู้ที่เป็นหวัด บรรเทาอาการเจ็บปวดของบาดแผล น้ำหอมระเหยนี้สามารถใช้ในการอาบน้ำ อบห้อง ฉีดพ่นสเปรย์ ผสมน้ำทำไอน้ำสปา นวดคลายกล้ามเนื้อ ทั้งยังผสมกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณ และเส้นผมอีกด้วย

น้ำมันหอมระเหยจากกำยาน (Franincense) ช่วยในการบำรุงกำลัง และเพิ่มความสวยความงาม เป็นน้ำมันหอมระเหยที่ทำให้รู้สึกเย็นสบาย และผ่อนคลาย ช่วยลดการหย่อนยานของกล้ามเนื้อ สามารถใช้ในการอาบน้ำ และฉีดให้มีกลิ่นหอมได้ กำยานมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ นับเป็นของมีค่าจากยางไม้แถบทะเลทราย นิยมเผาเพื่อสร้างบรรยากาศและสมาธิในการประกอบศาสนพิธี

น้ำมันหอมระเหยจากว่านคาร์ดาม่อน (Cardamon) เป็นว่านคล้ายข่า เครื่องเทศของอินเดีย ช่วยฟื้นฟูสภาพความเมื่อยล้าและเฉื่อยชาเซื่องซึม เหมาะสำหรับการอาน้ำ และนวดคลายกล้ามเนื้อ

น้ำมันหอมระเหยจากคาโมไมน์ (Camomile) ช่วยในการสร้างความผ่อนคลาย ทำให้หลับสบาย ใช้บรรเทาโรคผิวหนัง มีประสิทธิภาพในการป้องกันผิวแก่ก่อนวัย เหมาะใช้อาบน้ำ นวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ อบไอน้ำใบหน้า และใช้กับเตาไอน้ำสปาเพื่อจุดในห้องนอนให้หลับสบาย

น้ำมันหอมระเหยจากใบตระกูลแมงลัก (Basil) เสริมสร้างความกระปรี้กระเปร่า ทำให้หายจากอาการง่วงซึมเซา สร้างสมาธิเพิ่มมากขึ้น จิตใจปลอดโปร่ง ใช้ได้ทั้งการอาย การนวด แต่ควรระวังในสตรีมีครรภ์ ควรเริ่มใช้ปริมาณเล็กน้อย ไม่ควรใช้ติดต่อกันในระยะเวลานาน


ที่มา : http://www.prapathai.com/

ถอดแว่นหรือคอนแทคเลนส์ออกเสียก่อน จากนั้นเอาฝ่ามือทั้งสองข้างถูกันไปมาอย่างเร็วจนรู้สึกร้อน แล้วให้หลับตาแล้วนำเอาฝ่ามือทั้งสองข้างมานาบกับกับหนังตานานประมาณ 1 นาที ให้รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านซึมเข้าไปสู่ดวงตาของเรา และให้ผ่อนคลายความเคร่งเครียดทั้งมวลลงพร้อมทั้งหายใจลึกๆ

จากนั้นเอามือออก ลืมตาขึ้น แล้วเคลื่อนลูกตาจากซ้ายไปขวา โดยมองไปยังทีไกลๆ จากมุมซ้ายสุดแล้วกวาดสายตาไปยังมุมขวาสุด ทำซ้ำๆกัน 4 ครั้ง เสร็จแล้วหลับตา ถูมือให้ร้อนแล้วเอานาบกับหนังตาอีก พร้อมทั้งผ่อนคลายความเคร่งเครียดลงให้หมด หายใจลึกๆไว้

ต่อจากนั้นให้เคลื่อนสายตาจากมุมขวาบนไปยังมุมซ้ายล่างเป็นเส้นทแยงมุม 4 ครั้งเสร็จแล้วพักโดยหลับตา นาบฝ่ามือที่ถูกันจนร้อนแล้วลงที่หนังตา ดังเช่นตอนต้น

ขั้นต่อไปให้กวาดสายตาเป็นวง (เหมือนเอาสายตาจ้องดูเส้นวงกลมวงใหญ่ที่มีคนเขียนขึ้นข้างหน้าของเรา) ให้เคลื่อนสายตาตามทิศทางเคลื่อนตัวของเข้มนาฬิกา 4 รอบ แล้วพักโดยการนาบฝ่ามือที่ถูกันจนร้อนแล้วลงที่หนังตา
ขั้นตอนสุดท้าย เคลื่อนลูกตาจากบนสุดลงมายังจุดล่างสุดโดยมองไปยังจุดไกลๆที่สุดด้านบน แล้วกวาดสายตาลงมายังจุดด้านล่างอย่างช้าๆ ทำ 4 ครั้ง แล้วพักโดยการนาบฝ่ามือที่ถูกันจนร้อนแล้วลงที่หนังตา

บทฝึกการบริหารดวงตาดังกล่าวนี้ เราอาจทำต่อหน้าดวงตะวันที่กำลังเริ่มโผล่ ฃึ้นจากขอบฟ้าในตอนเช้าตรู่ หรือ ต่อหน้าดวงตะวัน ที่กำลังจะตกดิน ในตอนย่ำค่ำก็ได้ ซึ่งวิธีเช่นนี้จะทำให้ดวงตาของเรา ได้รับ "ปราณะ" หรือพลังชีวิต จากดวงตะวัน ทำให้ดวงตาแข็งแรงขึ้นแต่ต้องระมัดระวัง อย่ากระทำต่อหน้าแสงแดดจัดๆ หรือต่อหน้าท้องฟ้าที่สว่างจ้า เพราะจะทำอันตรายต่อดวงตาของเรา อาจถึงขั้นตาบอดได้ ดังนั้นต้องระมัดระวังการใช้สายตาให้มากด้วย

Way Back into Love (Ost. Music and Lyrics)

|

เพลง : Way Back into Love (Ost. Music and Lyrics)
ศิลปิน : Huge Grant and Haley Bennett

[Cora]
I've been living with a shadow overhead
I've been sleeping with a cloud above my bed
I've been lonely for so long
Trapped in the past, I just can't seem to move on

[Alex]
I've been hiding all my hopes and dreams away
Just in case I ever need them again someday
I've been setting aside time
To clear a little space in the corners of my mind

[Cora & Alex]
All I wanna do is find a way back into love
I can't make it through without a way back into love
Oh oh oh

[Cora]
I've been watching but the stars refuse to shine
I've been searching but I just don't see the signs
I know that it's out there
There's gotta be something for my soul somewhere

[Alex]
I've been looking for someone to shed some light
Not somebody just to get me through the night
I could use some direction
And I'm open to your suggestions

[Cora & Alex]
All I wanna do is find a way back into love
I can't make it through without a way back into love
And if I open my heart again
I guess I'm hoping you'll be there for me in the end

[Cora]
There are moments when I don't know if it's real
Or if anybody feels the way I feel
I need inspiration
Not just another negotiation

[Cora & Alex]
All I wanna do is find a way back into love
I can't make it through without a way back into love
And if I open my heart to you
I'm hoping you'll show me what to do
And if you help me to start again
You know that I'll be there for you in the end

เพลง : Somewhere Over The Rainbow / What a Wonderful World
ศิลปิน : Norah Jones / Cliff Richard

Ooooo oooooo ohoohohoo
Ooooo ohooohoo oooohoo
Ooooo ohoohooo oohoooo
Oohooo oohoooho ooooho
Ooooo oooooo oooooo
Ooooo oooooo oooooo

Somewhere over the rainbow
Way up high
And the dreams that you dreamed of
Once in a lullaby ii ii iii
Somewhere over the rainbow
Blue birds fly
And the dreams that you dreamed of
Dreams really do come true ooh ooooh
Someday I'll wish upon a star
Wake up where the clouds are far behind me ee ee eeh
Where trouble melts like lemon drops
High above the chimney tops thats where you'll find me oh
Somewhere over the rainbow bluebirds fly
And the dream that you dare to,why, oh why can't I? i iiii

Well I see trees of green and
Red roses too,
I'll watch them bloom for me and you
And I think to myself
What a wonderful world

Well I see skies of blue and I see clouds of white
And the brightness of day
I like the dark and I think to myself
What a wonderful world

The colors of the rainbow so pretty in the sky
Are also on the faces of people passing by
I see friends shaking hands
Saying, "How do you do?"
They're really saying, I...I love you
I hear babies cry and I watch them grow,
They'll learn much more
Than we'll know
And I think to myself
What a wonderful world

Someday I'll wish upon a star,
Wake up where the clouds are far behind me
Where trouble melts like lemon drops
High above the chimney top that's where you'll find
me
Oh, Somewhere over the rainbow way up high
And the dream that you dare to, why, oh why can't I? I
hiii ?

Ooooo oooooo oooooo
Ooooo oooooo oooooo
Ooooo oooooo oooooo
Ooooo oooooo oooooo
Ooooo oooooo oooooo
Ooooo oooooo oooooo



ไม่สำคัญว่า... คุณขับรถยี่ห้ออะไร ?

สำคัญว่า... คุณเคยให้คนที่ไม่มีรถ "นั่ง" มาด้วยกี่ครั้ง


ไม่สำคัญว่า... คุณทำงานล่วงเวลามากขนาดไหน ?

สำคัญว่า... คุณให้ "เวลา" แก่ครอบครัว และคนที่รักมากแค่ไหน


ไม่สำคัญว่า... คุณมีเสื้อผ้าทันสมัยกี่ชุดในตู้ ?

สำคัญว่า... คุณเคยให้เสื้อผ้าแก่คนที่ "ขาดแคลน" ใส่กี่ชุด


ไม่สำคัญว่า... คุณมีฐานะอะไรในสังคม ?

สำคัญว่า... คุณ "วางตัว" ในระดับไหน


ไม่สำคัญว่า... คุณมีทรัพย์มากเท่าไหร่ ?

สำคัญว่า... สิ่งที่คุณมี มันมี "อำนาจ" ชี้ขาดชีวิตคุณแค่ไหน


ไม่สำคัญว่า... เงินเดือนสูงสุดของคุณเท่าไร ?

สำคัญว่า... คุณต้องสละ "อุดมการณ์" เพื่อได้มันมาหรือไม่


ไม่สำคัญว่า... คุณได้เลื่อนขั้นกี่ขั้นแล้ว ?

สำคัญว่า... คุณเคย "สนับสนุน" ใครให้ได้เลื่อนขั้นบ้าง


ไม่สำคัญว่า... คุณมีตำแหน่งการงานอะไร ?

สำคัญว่า... คุณทำงานสุด "ความสามารถ" หรือไม่


ไม่สำคัญว่า... คุณมีเพื่อนกี่คน ?

สำคัญว่า... คุณเป็น "เพื่อนแท้" กับใครบ้าง


ไม่สำคัญว่า... คุณเรียกร้องและปกป้องสิทธิของตัวเองอย่างไร ?

สำคัญว่า... คุณทำอะไรเพื่อ "ช่วยและปกป้อง" สิทธิคนอื่น


ไม่สำคัญว่า... สิ่งที่คุณทำสอดคล้องกับคำพูดของคุณกี่ครั้ง ?

สำคัญว่า... มีกี่ครั้งที่คำพูดของคุณ "ไม่สอดคล้อง" กับการกระทำ...

ที่มา : สรุปจากหนังสืออัฉริยะสร้างได้ โดย วนิษา เรซ

“This is a simple and so obvious …only a genius could think of it”

สมองซีกซ้ายและซีกขวา
สมองซีกซ้าย ------ ตรรกะ ------ การวางแผน ไวยากรณ์ การเขียนซ้ำแก้ไข การหาข้อมูล การใช้สัญลักษณ์ต่างๆ
สมองซีกขวา ------ อารมณ์ ความรู้สืก ------ ความน่าตื่นเต้น สีสัน การใช้จินตนาภาพและจินตนาการ การใช้ความแปลกใหม่ การใช้ข้อมูลสนุก ขี้เล่น

มนุษย์เรามีอัจฉริยภาพอย่างน้อย 8 ด้าน และในคนหนึ่งคนก็มีครบทั้ง 8 ด้าน

1. อัจฉริยภาพด้านภาษา
อัจฉริยภาพด้านภาษานี้จำเป็นมากสำหรับแทบทุกอาชีพ บุคคลที่มีอัฉริยภาพด้านนี้ คือคนที่เป็นนายของภาษา สามารถใช้ภาษาได้อย่างที่ใจต้องการ...มีทักษะในการรับรู้ข้อมูลผ่านภาษาสูงมาก เป็นคนช่างสังเกต
กิจกรรมส่งเสริม
การฟังอย่างลึกซึ้ง ------ ฝึกหน้าที่เป็น Moderator ------ ฟังและออกเสียงตามภาษาอื่นๆ ------ เลือกฟังเพลงหลายๆ ภาษา ------ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ------ ถามความหมายศัพท์ใหม่ ------ อ่านสารบัญหนังสือขายดี ------สรุปการประชุมเป็นคำคล้องจอง ------ หัดทำ Mind Map ------เล่าเรื่องขำขัน ------ ชวนคุย

2. อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
คนที่อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว คือคนที่สมองทำงานเร็ว และทรงพลังเป็นพิเศษเมื่อร่างกายของเขามีการเคลื่อนไหว...เมื่อเขาได้เล่น...ได้เต้น...ได้ออกกำลังกาย
กิจกรรมส่งเสริม
หายใจให้ถูกต้อง ------ จัดกระดูกสันหลังให้ตรง ------ ทานอาหารให้ครบส่วนและเลือกทานอาหารสุขภาพ ------ ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ------ ซ่อมแซมข้าวของเครื่องใช้ ------ ใช้ร่างกายสลับซีก ------ ออกกำลังกาย ------ ฝึกทำท่าบริหารสมอง (Brain Gym)

3. อัฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ
คนที่มีความสามารถด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ มองอะไรก็มักเห็นเป็นภาพชัดเจนอยู่ในจินตนาการ...เมื่อคนกลุ่มนี้หลับตาลง จะมองเห็นภาพหนังสือที่อ่านลอบอยู่ตรงหน้าได้
กิจกรรมส่งเสริม
พกปากกาสี หรือปากกาเน้นข้อความ ------ หัดทำ Mind Map ------ เข้า search engine หารูป ------ วาดแผนที่ ------ ฝึกวาดวงกลม ------ ฝึกจัดดอกไม้ ------ จัดกระเป๋า จัดบ้าน หรือจัดโต๊ะทำงานให้มีระเบียบ ------ รื้อ สำรวจ ประกอบอุปกรณ์ที่เสียแล้ว ------ ใช้กราฟ แผนภูมิ แผนผัง ------ ฝึกเขียนอักษรกลับหัว

4. อัฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์
วันๆ หนึ่งเราต้องใช้ทักษะด้านตรรกะและคณิตศาสตร์เยอะมากๆ โดยไม่รู้ตัว...คนที่มีอัฉริยภาพด้านนี้ จะมีลักษณะเป็นคนช่างสงสัย ชอบสืบค้นข้อมูล ชอบสืบสวนสอบสวน...
กิจกรรมส่งเสริม
บวกค่าอาหาร ------ หัดทำ Mind Map ------ บวกเลขทะเบียนรถ ------ อ่านหนังสือเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ ------ ติดตามข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ------ ฝึกเล่นเกมที่ต้องวางแผน ------ เรียนรู้การวางแผนและจัดระบบ ------ ทำบัญชีรายรับ รายจ่ายประจำวัน ------ จัดหมวดหมู่สิ่งของ ------ ทยซิ ทายซิ สังเกตผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา

5. อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตัวเอง
คนกลุ่มนี้มักชอบรับพลังงานจากการอยู่นิ่งๆ กับตัวเอง ได้มองความคิดตัวเอง มีความสุขกับการคิดไป คิดมา ถาม-ตอบเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง...คนมีอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตัวเองสามารถที่จะอยู่ตามลำพังอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งผู้อื่นและปัจจัยภายนอก
กิจกรรมส่งเสริม
ตั้งเป้าหมายหรือผลสัมฤทธิ์ปลายทางในสิ่งที่จะทำให้ชัดเจนเพื่ให้สำเร็จและมีประสิทธิภาพ ------ ทบทวนชีวิตในวันนี้ ------ วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ของตัวเอง ------ ตั้งเป้าหมายแบบไคเซน ------ การผ่อนคลาย ------ เขียนชีวประวัติตนเอง ------ ลองทำแบบทดสอบต่างๆ ------ ยิ้มให้ตนเองก่อนออกจากบ้าน ------ วันของฉัน ให้รางวันกับตัวเอง

6. อัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น
ลักษณะเด่นของคนกลุ่มนี้คือมีความเป็น “นักฟัง” หรือความเป็นผู้ฟังสูงมาก...และถ้าอยากประสบความสำเร็จทั้งการงานและชีวิตความสัมพันธ์ส่วนตัวในสังคมที่มีมนุษย์อยู่ร่วมกันเกิน 2 คนขึ้นไปแล้วละก็ ความสัมพันธ์ด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่นมีความจำเป็นมาก
กิจกรรมส่งเสริม
ยิ้ม ------ อ่านความหมายจากใบหน้า ------ ฟังอย่างลึกซึ้ง ------ ชวนคุยในเรื่องเขา บอกเล่าในเรื่องเรา หรือพูดคุยในเรื่องที่ทั้งสอฝ่ายสนใจ ------ คิดแบบ Win-Win Situation ------ นั่งดูผู้คน ------ เพื่อนสอนเพื่อน แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ ------ ร่วมกิจกรรมกลุ่มในโอกาสต่างๆ

7. อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจธรรมชาติ
อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจธรรมชาติได้ถูกส่งผ่านบรรพบุรุษมาใน DNA มนุษย์ทุกคน ถึงแม้เราจะไม่รู้ตัวก็ตาม และเป็นปัญญาด้านที่พัฒนาได้ง่าย และเป็น “ธรรมชาติ” ได้มากที่สุด
กิจกรรมส่งเสริม
จิบชา ------ ออกไปอยู่นอกห้องปรับอากาศ ------ ไปตลาดต้นไม้ ------ ทำศิลบะภาพพิมพ์ ------ หัดทำอาหาร ------ กอดต้นไม้ในสวน ------ทำสมุดทับใบไม้ดอกไม้ ------ ปลูกต้นไม้ในที่ทำงาน ------ ใช้ผลิตภัณพ์จากธรรมชาติ ------ ไปดูดาวท้องฟ้าจำลอง ------ ถอดรองเท้าเดินบนพื้นดิน ทราย หรือหญ้า

8. อัจฉริยภาพด้านดนตรีและจังหวะ
อัจฉริยภาพด้านดนตรีและจังหวะช่วยให้เราจำได้แม่น และมองเห็นภาพรวมได้ทั้งหมด...ดนตรีและจังหวะช่วยจัดระบบคลื่นสมองให้เข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย และเหมาะกับการเรียนรู้และการพักผ่อน
กิจกรรมส่งเสริม
ฟังเสียงในสวน ------ ร้องเพลงในห้องน้ำ ------ร้องคาราโอเกะ ------ เปลี่ยนเนื้อเพลงเล่นสนุก ------ เพิ่มไสตล์ หลายแนวเพลง ------ เปิดเพลงบรรเลงเบาๆ คลอระหว่างอ่านหนังสือหรือประชุม ------ ฝึกอ่านออกเสียงเป็นจังหวะจะโคน

ลองไปฝึกฝนกันนะคะ จะได้มีอัจฉริยภาพกันทุกด้าน หวังว่าคงมีประโยชน์กับทุกคนนะคะ .......

มองมุมใหม่ : Blue Ocean Strategy

2/10/50 |

กระแสของ Blue Ocean Strategy ผู้อ่านบางท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่เชื่อว่าส่วนมากจะเริ่มสงสัยแล้วว่า คืออะไร ถ้าถามผมว่าในปัจจุบันแนวคิดทางการจัดการในเรื่องใดที่ได้รับความตื่นตัวและสนใจกันมากในช่วงระยะหลัง ก็คงจะต้องตอบว่า Blue Ocean Strategy คงเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ช่วงหลังก็เริ่มมีองค์กรชั้นนำหลายแห่งเริ่มจัดให้มีการสัมมนากันเรื่องของ Blue Ocean Strategy กันมากขึ้น

แนวคิดของ Blue Ocean มาจากนักวิชาการสองคนชื่อ W. Chan Kim และ Renee Mauborgne ซึ่งทั้งคู่เป็นอาจารย์จาก INSEAD สถาบันทางด้านบริหารธุรกิจชื่อดังในฝรั่งเศส เช่นเดียวกับพัฒนาการของแนวคิดทางการจัดการอื่นๆ ที่โด่งดัง อาจารย์ทั้งสองท่านได้ร่วมกันเขียนบทความที่นำไปสู่เรื่องของ Blue Ocean นี้มาในวารสาร Harvard Business Review มาเป็นระยะๆ จนท้ายที่สุดเมื่อตอนต้นปีถึงออกหนังสือเรื่อง Blue Ocean Strategy นี้ขึ้นมา

ผู้อ่านอาจจะเริ่มสงสัยว่าเจ้า Blue Ocean Strategy คืออะไรกันแน่ ซึ่งก่อนที่จะไปรู้จักกัน ต้องพาผู้อ่านไปรู้จักกับ Red Ocean กันก่อน การแข่งขันธุรกิจที่พบเห็นอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ล้วนแต่ถูกจัดให้เป็น Red Ocean ทั้งสิ้น เนื่องจากบริษัทในอุตสาหกรรมแต่ละรายก็จะมุ่งเน้นจะเอาชนะคู่แข่งอื่นๆ เพื่อที่จะแย่งชิงลูกค้ามาให้ได้มากที่สุด และทำให้ได้กำไรมากที่สุด และแนวทางที่สำคัญที่จะเอาชนะคู่แข่งให้ได้ก็คือ จะต้องดูว่าคู่แข่งของเราทำอะไรบ้าง สินค้าและบริการของคู่แข่งเป็นอย่างไร เมื่อคู่แข่งออกสินค้าหรือบริการอะไรใหม่ออกมา เราก็จะต้องทำตามและออกมาบ้าง เพื่อไม่ให้น้อยหน้าคู่แข่ง

และเมื่อวงจรนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมก็จะมีลักษณะที่เหมือนกัน หาความแตกต่างได้ลำบาก และนำไปสู่การแข่งขันทางด้านราคาเป็นหลัก ซึ่งก็จะไม่ทำให้ใครได้ประโยชน์หรือเกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน คู่แข่งทุกเจ้าในอุตสาหกรรมก็จะเกิดการบาดเจ็บเป็นแผล และเลือดไหลซิบๆ ซึ่งก็คือชื่อที่มาของ Red Ocean นั่นเอง ผู้อ่านลองมองไปรอบๆ ตัวแล้วจะพบว่า อุตสาหกรรมหรือธุรกิจส่วนใหญ่ในไทยจะเข้าสู่ภาวะของ Red Ocean Strategy ทั้งสิ้น โดยในระยะแรกความแตกต่างระหว่างสินค้าและบริการของผู้เล่นแต่ละรายยังพอเห็นได้ชัดเจน แต่พอนานเข้า ความแตกต่างระหว่างสินค้าและบริการของแต่ละรายก็จะเหมือนกันทุกๆ ที และสุดท้ายก็จะไปแข่งกันในเรื่องของราคา หรือการส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ ทีนี้เรามาดูเจ้า Blue Ocean กันบ้าง หลักการของ Blue Ocean นั้นจะไม่มุ่งเน้นที่จะตอบสนองต่ออุปสงค์ที่มีอยู่ แต่จะเน้นในการสร้างความต้องการหรืออุปสงค์ขึ้นมาใหม่ (Demand Creation) โดยไม่สนใจและให้ความสำคัญกับคู่แข่งเดิมๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรม เป็นการสร้างความต้องการของลูกค้า และอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมา ก่อให้เกิดประโยชน์หรือคุณค่าทั้งต่อองค์กรเองและลูกค้า โดยลูกค้าก็จะได้รับคุณค่าที่ก่อให้เกิดความแตกต่าง ในขณะที่องค์กรก็จะลดต้นทุนในส่วนที่ไม่จำเป็น และนำไปสู่การเติบโตขององค์กร

ถ้าผู้อ่านยังนึกอุตสาหกรรมที่เกิดจาก Blue Ocean ไม่ออก ก็ลองย้อนกลับไปซักสามสิบปี แล้วดูซิครับว่าอุตสาหกรรมไหนบ้างที่ในปัจจุบันมี และสามสิบปีที่แล้วยังไม่มี ตัวอย่างง่ายๆ เช่น สถานีข่าวยี่สิบสี่ชั่วโมงอย่าง CNN ที่ในอดีตนั้นสถานีโทรทัศน์ก็จะมีรายการที่หลากหลาย

แต่สิ่งที่ CNN ทำคือสร้างตลาดและอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมาที่นำเสนอข่าวยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน ลูกค้าของ CNN จะเป็นกลุ่มใหม่ที่ไม่ใช่ลูกค้าของสถานีโทรทัศน์เดิมๆ ที่มีอยู่ ลูกค้าจะได้รับคุณค่าจาก CNN ในลักษณะที่ไม่ได้จากสถานีโทรทัศน์ช่องอื่น และขณะเดียวกัน CNN ก็ไม่จำเป็นต้องแบกต้นทุนที่สูงเกินเหตุเนื่องจากเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มุ่งเน้นแต่การนำเสนอข่าวเพียงอย่างเดียว

อีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือ สายการบินต้นทุนต่ำ (Low Cost Airlines) ที่เราคุ้นเคยกันดี ทีนี้ตอนที่สายการบินต้นทุนต่ำเกิดขึ้นมาใหม่ๆ (สายการบิน Southwest) เราจะเห็นว่าสายการบินต้นทุนต่ำไม่ได้มุ่งเน้นที่จะแข่งขันกับสายการบินเจ้าเดิมๆ ที่มีอยู่แล้ว แต่พยายามมุ่งตอบสนองต่อผู้ที่เดินทางด้วยรถยนต์หรือรถไฟ

ตัวอย่างที่เห็นในบ้านเรา ก็อย่าง โออิชิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการส่งอาหารญี่ปุ่นตามบ้าน หรือที่เรียกว่า Delivery แต่พอนึกถึงโออิชิก็ทำให้ต้องนึกถึงข้อที่ต้องระวังของ Blue Ocean เหมือนกันนะครับ นั่นคือพอทำในสิ่งที่ยังไม่มีคู่แข่งทำ ก็จะส่งผลให้คุณภาพของสินค้าและบริการแย่ไปด้วย

ผมเองมีประสบการณ์ที่เลวร้ายกับการสั่งโออิชิมากินที่บ้านหลายครั้ง ทั้งส่งช้าหรือส่งไม่ครบ ซึ่งเมื่อเทียบกับพวกพิซซ่าทั้งหลายแล้ว คุณภาพของการส่งต่างกันมาก ทั้งนี้ เนื่องจากการมีคู่แข่งมาคอยกดดันอย่างใกล้ชิด ทำให้น่าคิดเหมือนกันว่าถ้าเน้น Blue Ocean มากๆ แล้ว สร้างความต้องการใหม่ๆ ขึ้นมา โดยที่ยังไม่มีคู่แข่งขัน จะส่งผลต่อคุณภาพของบริการที่แย่แบบโออิชิหรือไม่?

จริงๆ แล้ว ประเด็นหลักของหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใหม่นัก มีหนังสือในลักษณะเดียวกันออกมาก่อนหน้านี้หลายเล่ม เพียงแต่ความแตกต่างหรือโดดเด่นของหนังสือเล่มนี้ก็คือ แทนที่จะพร่ำพรรณนาเพียงอย่างเดียว กลับนำเสนอเครื่องมือในการวิเคราะห์และกำหนดกลยุทธ์ที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อให้สร้าง Blue Ocean ออกมาได้ ซึ่งในสัปดาห์หน้าเราจะมาต่อกันถึงการวิเคราะห์และกำหนดกลยุทธ์ เพื่อให้เกิด Blue Ocean ออกมานะครับ



ผู้เขียน : รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



ที่มา : http://www.thaitrainingzone.com/

มาถึงตอนนี้เครื่องมือการบริหารจัดการสมัยใหม่ที่เรียกว่า "Balanced Scorecard" ได้ถูกนำไปใช้ในการบริหารจัดการองค์กรชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก และได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือที่ทันสมัยและดีที่สุดในรอบ 75 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่มีเครื่องมือด้านการบริหารจัดการกำเนิดขึ้นมา
"Balanced Scorecard" หรือการบริหารจัดการที่ "บัณฑูร ล่ำซำ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) ให้คำจำกัดความว่า "เครื่องมือการบริหารจัดการในเชิงสมดุล" เป็นความสมดุลทั้งเป้าหมายการเงิน มุมมองด้านลูกค้า การบริหารจัดการภายใน ที่ขณะนี้มีดัชนีที่ชี้ให้เห็นว่าองค์กรที่นำเครื่องมือนี้ไปใช้มีผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างทันตาเห็น
"โรเบิร์ต แคปแลน" กูรูด้านการจัดการชื่อดังระดับโลก ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และผู้ร่วมค้นคิด "Balanced Scorecard" ซึ่งเดินทางมาบรรยายในประเทศไทยเต็มวันในหัวข้อเรื่อง "Extending the Balance Scorecard to meet the New Strategy Alignment Challenges ให้นักธุรกิจในองค์กรชั้นนำของประเทศไทยได้ฟังที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา
การบรรยายครั้งนี้ "ลีดดิ้ง มายด์" บริษัทจัดอีเวนต์ชั้นนำระดับโลกที่เคยนำ "ไมเคิล อี. พอร์เตอร์" มาบรรยายที่เมืองไทยก่อนหน้านี้ เป็นผู้รับผิดชอบร่วมกับ สถาบันศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีผู้บริหารระดับสูงขององค์กรชั้นนำหลายแห่งของเมืองไทยเข้าฟังกันอย่างคับคั่ง จนห้องบอลรูมของโรงแรมพลาซ่า แอทธินี ขนาดความจุกว่าพันคนดูแน่นไปถนัดตา
ผู้บริหารระดับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ ที่เข้าฟังการบรรยายของ "แคปแลน" ครั้งนี้มีอาทิ นายกนก อภิรดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) บรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ภัทร ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทย รวมถึง "บัณฑูร ล่ำซำ" ซีอีโอของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นองค์กรที่ใช้ Balanced Scorecard ในการบริหารจัดการมาหลายปีก็เป็นหนึ่งในผู้บริหารที่เข้าร่วมฟังการบรรยายของ "แคปแลน" ด้วย
นอกจากภาคเอกชนแล้ว Balanced Scorecard ยังเป็นเครื่องมือที่กำลังได้รับความนิยมจากภาครัฐบาลในหลากหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย เพราะทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการรู้สึกพอใจกับสินค้าและบริการของภาครัฐมากขึ้น
"ปัจจุบันหลายหน่วยงานราชการทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกองทัพอากาศของนอร์เวย์ กระทรวงกลาโหมของอังกฤษ กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา ได้นำเครื่องมือที่ว่ามาใช้แล้วและได้รับผลตอบรับที่ดี"

"แคปแลน" บอกถึงหลักสำคัญของ Balanced Scorecard หรือการบริหารจัดการให้สมดุลว่า ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนจะต้องมีการสื่อสาร เพื่อถ่ายทอดกลยุทธ์ขั้นสูงสุดลงสู่ทุกหน่วยงานขององค์กร
มีการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคลากรในองค์กรที่เปิดกว้าง ตรงไปตรงมา มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการให้อำนาจแก่พนักงานในการดูแลรับผิดชอบการปฏิบัติงานของพวกเขาด้วย
"ต้องมีการพูดคุยและสื่อสารระหว่างหัวหน้า และฝ่ายปฏิบัติการเพิ่มมากขึ้น"
ปัจจัยสำคัญจะไปถึงจุดนั้นได้ "แคปแลน" บอกว่า ต้องมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ผู้บริหารระดับสูงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทิศทางที่ดีก่อน ระดับล่างจึงจะเปลี่ยนแปลงตามได้
ถอดวิธีคิดของ "แคปแลน" มาเป็นคำพูดแบบไทยๆ ให้เข้าใจได้ความง่ายๆ ว่า "เมื่อหัวส่าย หางจะต้องกระดิก" ซึ่งในทางกลับกัน "หากหัวไม่ส่าย มีหรือที่ส่วนหางจะกระดิก"
การก้าวไปสู่จุดนั้นได้จะต้องผ่าน 5 กลยุทธ์หลักสำคัญที่ "แคปแลน" ถ่ายทอดไว้ให้บรรดาซีอีโอมืออาชีพขององค์กรชั้นสูงเมืองไทยฟังครั้งนี้ ประกอบด้วย
1.Mobilize ผู้นำสูงสุดขององค์กรจะต้องเป็นผู้นำในการจุดชนวน ความคิด เคลื่อนพล ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
2.Translate มีการถ่ายทอดแปลความหมาย ผ่านเครื่องมือสำคัญที่เรียกว่าแผนที่กลยุทธ์หรือ Strategy Map เพื่อให้การบริหารจัดการในองค์กรมีการเชื่อมโยงกันได้
3.Alignment ทำให้ทุกหน่วยงานมีการผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียว หรือความรู้สึกเป็นทีม มีความรักองค์กร
4.Motivate มีแรงกระตุ้น ดลใจเพื่อให้ทุกคนทำตามเป้าหมายขององค์กรที่วางไว้
5.Govern ดูแลให้ทุกอย่างที่ทำมาแล้วมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้ต้องทำบนพื้นฐานสำคัญคือ ความสอดคล้องสมดุลกันใน 4 มุมมองหลัก คือมุมมองด้านการเงิน มุมมองด้านลูกค้า มุมมองด้านกระบวนการภายใน และมุมมองด้านการเรียนรู้และการพัฒนา
โดยไม่สามารถทำให้มุมมองใดมุมมองหนึ่งโป่งพองขึ้น เช่น รายได้ที่เพิ่มมากขึ้นต้องมาจากผลการดำเนินงานที่ปรับเพิ่มขึ้น จากการที่พนักงานร่วมมือร่วมใจกันทำงาน ไม่ใช่เป็นการเพิ่มขึ้นจากการปลดหรือเลย์ออฟพนักงานออกไป
"แคปแลน" บอกว่า ปัจจุบันองค์กรทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ทั่วโลกต่างต้องเผชิญกับความท้าทายรูปแบบต่างๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี
สำหรับประเทศไทยนั้นธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี, บริษัทกลุ่มชินวัตร, เครือซิเมนต์ไทย ได้นำ Balanced Scorecard มาใช้ในการบริหารจัดการองค์กรแล้ว และได้ผลเป็นอย่างดี
ไม่เท่านั้น ยังเห็นการตื่นตัวอย่างมากของภาคราชการที่จะนำ Balanced Scorecard เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการเพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะมีการปฏิวัติระบบวิธีคิดในการบริหารราชการใหม่
สำหรับในไทย รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูประบบราชการ(ก.พ.ร.) ขึ้น และเป็นหน่วยงานที่คอยประเมินผลงานของหน่วยงานราชการต่างๆ ว่าสามารถดำเนินการได้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ แต่ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของ "Balanced Scorecard" ของภาคราชการไม่ใช่เรื่องความพึงพอใจทางด้านการเงินเหมือนเอกชน แต่อยู่ที่ความพึงพอใจของประชาชนผู้ใช้บริการ และขั้นตอนการดำเนินงานที่รวดเร็ว ด้วยการตัดขั้นตอนซ้ำซ้อนออกไป
มีผู้ฟังให้ "แคปแลน" วิเคราะห์ว่าจุดแข็งของไทยคืออะไร!!!
"แคปแลน" มองเหมือน "ไมเคิล อี. พอร์เตอร์" กูรูด้านบริหารจัดการอีกคนที่เคยมาบรรยายในเมืองไทย และชูเรื่องการท่องเที่ยวของไทยว่าเป็นจุดแข็ง เพราะเป็นประเทศที่มีโรงแรมชั้นดีและอาหารอร่อย
วิธีคิดของ "แคปแลน" เองก็คิดแบบนี้ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทางด้านการท่องเที่ยวซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เพียงแห่งเดียว แต่อาจจะมีหน่วยงานอื่นอย่างตำรวจท่องเที่ยว บริษัททัวร์ ทำ Balance Scorecard หรือแผนที่เชิงกลยุทธ์ด้านการท่องเที่ยวและกำหนดเป้าหมายร่วมกัน เพื่อนำไปปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน
เขาบอกว่าวิธีคิดนี้เหมือนการทำ Balance Scorecard ของเมืองเมืองหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ทำแผนกลยุทธ์การบริหารเมือง ทั้งเรื่องความปลอดภัย การขนส่ง และใช้ได้ผลมาแล้ว!!!

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2547

ตั้งแต่มีแนวคิดวิธีการสมัยใหม่ได้ถูกนำออกมาใช้ในวงการธุรกิจมากมายหลายแนวคิด เป็นธรรมดาย่อมมีผู้ต่อต้าน และผู้ให้การสนับสนุนในแต่ละแนวคิด ผมก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนแนวคิดใหม่ ๆ เหล่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า แนวคิดแบบเก่า ๆ จะใช้ไม่ได้ หรือไม่มีคุณค่าเอาเสียเลย แต่ผมกลับคิดว่า แนวคิดเก่า ๆ นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาไปเป็นแนวคิดสมัยใหม่เช่นเดียวกับแนวคิด Lean และ Six Sigma
วัตถุประสงค์เบื้องต้นทุกธุรกิจย่อมมีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือการสร้างกำไร (Profit Making) ซึ่งไม่ได้หมายความถึงแค่การทำเงินเท่านั้น ในองค์กรธุรกิจหรือการดำเนินการอื่นก็สามารถมีกำไรได้โดยไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในรูปแบบเงินตราเท่านั้น แนวคิดแบบ Lean Six Sigma นั้นเป็นการรวมเอาแนวคิด และกลยุทธ์มารวมกันเพื่อให้องค์กรธุรกิจนั้นมีความเร็วที่ดีกว่า มีความแปรปรวนที่ลดน้อยลง และที่สำคัญที่สุดจะมีผลกระทบต่อองค์กรมากที่สุด ผมสังเกตดูได้จากแนวโน้มในอนาคตว่าแนวคิดต่าง ๆ อาจจะรวมเป็นแค่วิธีการเดียวเท่านั้น คงต้องคอยติดตามดูหัวใจหลักของ Lean Six Sigma นั้น คืออัตราที่เร็วที่สุดของการปรับปรุงในความพอใจของลูกค้า ต้นทุน คุณภาพ ความเร่ง และการลงทุนในทรัพย์สิน ทำไมการรวมตัวของ Lean และ Six Sigma จึงมีความจำเป็น เพราะแนวคิด และความรู้ของมนุษย์ได้ถูกผลักดันโดยตรงจากความต้องการของลูกค้า เทคโนโลยี และสังคมการสื่อสารได้ผลักดันให้เกิดมีแนวคิดนี้ให้เกิดขึ้น ลำพังแนวคิดของ Lean เองนั้นไม่สามารถที่จะทำให้กระบวนการอยู่ในการควบคุมเชิงสถิติได้ และแนวคิด Six Sigma เองก็ไม่สามารถปรับปรุงความเร็วของกระบวนการได้อย่างมากมายหรือลดการลงทุนได้ แต่เป็นที่รับรู้กันว่าความแปรปรวนนั้นเป็นศัตรูของธุรกิจทั้งหมด และ Lean Six Sigma สามารถที่จะกำจัดความแปรปรวนนี้ออกไปจากกระบวนการได้ดีกว่าวิธีการอื่น ๆ ดังนั้นผมจึงอยากจะเสนอ 10 ขั้นตอนสำหรับการนำเอา Lean Six Sigma มาใช้โดยได้นำแนวคิดมาจาก The Agility Group
1. ต้องหาทีมที่ปรึกษา เมืองไทยเราเองนั้นมักคุ้นเคยกับที่ปรึกษาในหลายรูปแบบ เพราะอาจได้ยินได้เห็น และเคยได้รับการบริการของที่ปรึกษามาก่อนหน้านี้ แต่ที่ปรึกษาสำหรับ Lean Six Sigma คงจะไม่ใช่ธรรมดา เพราะองค์กรที่มีความต้องการที่จะนำ Lean Six Sigma มาใช้นั้นต้องการการเปลี่ยนแปลง ที่ปรึกษานั้นคงจะไม่ใช่แค่บุคคลที่ให้คำปรึกษา หรือเป็นแค่บุคคลที่เข้าไปดำเนินการอะไร ๆ สักอย่างให้เกิดผล มันคงจะไม่ใช่แค่นั้น หรือที่ปรึกษาจะเป็นใครสักคนที่เป็นอาวุโสดูมีความรู้ แล้วเชิญ หรือจ้างมานั่งเพื่อให้เกิดความอุ่นใจ ถ้าที่ปรึกษาของท่านเป็นอย่างนั้นคงจะหมดสมัยไปแล้ว เพราะที่ปรึกษาในยุคปัจจุบันจะต้องเป็นเหมือน ตัวแทนความรู้ (Knowledge Agent) ที่จะต้องมีความรู้ในเรื่องราวเทคนิคใหม่ ถ่ายทอดได้ และสร้างกระบวนการถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นให้เกิดขึ้นกับองค์กรที่ได้รับคำปรึกษา ดังนั้นเพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการเรียนรู้ องค์กรจึงจำเป็นที่จะต้องหาที่ปรึกษามาเป็นตัวกระตุ้นมาเป็นตัวแทนความรู้ในการบริหารความเปลี่ยนแปลง
2. ความเป็นผู้นำ (Leader ship) สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในการนำองค์กรธุรกิจ คือ ความเป็นผู้นำ (Leader ship) วิสัยทัศน์ (Vision) และเป้าหมาย (Goal) ขององค์กรจะต้องถูกกำหนดอย่างเด่นชัดโดยผู้นำ MD หรือ CEO เพื่อที่จะสร้างความเกี่ยวโยงไปถึงโปรแกรม หรือโครงการ Lean Six Sigma ซึ่งจะเป็นโครงการในระดับองค์กร เป้าหมายที่จะต้องถูกกระจายออกไปทั่วทั้งองค์กร หรือบริษัทในลักษณะเป็นเหตุการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องมีการอธิบายสื่อสารกันอย่างค่อนข้างจะถูกต้อง และไปในทิศทางเดียวกัน หลายบริษัทที่มีผู้นำที่ไม่เข้าใจการนำ Lean Six Sigma มาใช้แต่ไม่ค่อยเห็นผลเพราะคิดว่าเป็นแค่เครื่องมือตัวหนึ่งเท่านั้น
3. การคัดเลือกผู้ปฏิบัติงาน การสร้างงานใหญ่ในระดับองค์กรนั้นจะต้องมีเจ้าภาพ หรือผู้ที่รับผิดชอบ ในการจัดการแบบดั้งเดิม เจ้าของ หรือผู้ควบคุมดูแลโครงการจะเป็นผู้จัดการโครงการแต่ในความหมายของโครงการ (Project) นั้นมีความหมายเหมือนการนำสิ่งหนึ่งที่รู้ผลลัพธ์ และเป็นการนำมาปฏิบัติอีกครั้งซึ่งเหมือนกับโครงการก่อน ๆ มีรูปแบบ และการทำงานที่แน่นอน แต่สำหรับโครงการในเชิงการพัฒนาปรับปรุงการจัดการต่าง ๆ นั้นแตกต่างจากโครงการทั่วไป คือ โครงการเหล่านี้เป็นการริเริ่ม (Initiative) เรื่องใหม่ หรือสิ่งใหม่ ไม่ว่าคุณจะไปเริ่มโครงการนี้ที่ไหนคุณจะต้องเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา เพราะทุกองค์กรนั้นไม่เหมือนกัน หรือองค์กรนั้นมีหนึ่งเดียว (Unique) ดังนั้นผู้ที่จะมาดำเนินการโครงการริเริ่มเช่นนี้จะต้องมีโครงสร้างของทีมงาน ไม่ใช่การบริหารโครงการแบบธรรมดา ผมชอบการจัดโครงสร้างองค์กรแบบ Six Sigma Project ในขณะที่โครงการ Lean นั้นไม่ได้กล่าวถึงมากนั้น ในแง่การดำเนินงานแล้ว Six Sigma มีวิธีการในการดำเนินงานที่เป็นรูปแบบมาตรฐานในการสื่อสาร และการจัดการความรู้ตามลำดับขั้นในองค์กร เทคนิค และความรู้ตรงนี้คงจะต้องได้จากบริษัทที่ปรึกษา (Consulting Firm) และบุคคลที่จะมาเป็นเจ้าภาพ หรือผู้นำนั้นก็จะต้องเป็นตัวแทนของธุรกิจองค์กรในอนาคตด้วย บุคคลนี้สำคัญมากต่อความสำเร็จ หรือความล้มเหลวของโครงการ ดังนั้นผู้นำองค์กร CEO หรือ MD จะต้องมีความเข้าใจ และใส่ใจในแนวคิดของการดำเนินงานเทคนิคสมัยใหม่อย่างมาก เพราะว่าทุก ๆ เทคนิค และวิธีการในปัจจุบันจะออกมาในแนวนี้เสมอ
4. การฝึกอบรม ทุกบริษัทมีการฝึกอบรมประจำทุกปี หรือตลอดเวลาตามแผนงาน ฝ่ายทรัพยากรบุคคลซึ่งจะเป็นฝ่ายจัดการฝึกอบรมจึงมีความสำคัญมาก เพราะว่าการฝึกอบรมที่มาจากฝ่ายบุคคลเป็นความต้องการพื้นฐานของบุคคลไม่ใช่ขององค์กรที่กำลังต้องการจะเปลี่ยนแปลง ถ้าสมมุติว่าฝ่ายบุคคลของบริษัทหนึ่งติดต่อผมมา เรื่องอบรม Six Sigma หรือ Lean เพราะว่ามีความต้องการจากฝ่ายผลิตร้องขอมา ผมตอบได้เลยว่า บริษัทนี้ยังไม่ได้มีโครงการ Lean หรือ Six Sigma เกิดขึ้น แต่เป็นเพราะบุคลากรของบริษัทที่มีวิสัยทัศน์จึงอยากเรียน ในทางตรงกันข้ามความต้องการนี้ควรจะมาจากบุคคลระดับบริหารอย่าง CEO หรือ MD และบุคคลแรกที่ควรจะได้รับการฝึกอบรมควรจะเป็น MD หรือ CEO มากกว่าเพื่อที่จะให้ผู้นำองค์กรได้มีวิสัยทัศน์และเข้าใจปรัชญา และแนวคิดของ Lean และ Six Sigma แล้วจึงค่อยสั่งการให้มีการฝึกอบรมตามแผนงาน หรือโครงงาน
5. การเริ่มโครงการ โครงการจะริเริ่มได้ก็คงจะต้องมาจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ผ่านการฝึกอบรมมาก่อน สิ่งที่สำคัญของโครงการริเริ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร ถ้าฝ่ายบริหารตกลงและสนับสนุนโครงการนั้นมีหวังไปแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทุนสนับสนุน การสั่งการเพื่อให้พนักงานทุกคนให้ความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ โปรดระลึกอยู่เสมอว่า Lean หรือ Six Sigma ไม่ใช่แนวคิดของการพัฒนาระดับบุคคล แผนก หรือฝ่าย แต่มันเป็นการพัฒนาขององค์กรที่ทุกคนทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ดังนั้นจึงต้องทำให้ทุกคนเข้าใจ และรับรู้รับทราบถึงการสนับสนุนจากฝ่ายบริหารระดับสูง
6. การเลือกโครงการ และการดำเนินงาน ในอดีตผมมองว่าโครงการ Six Sigma มีจุดอ่อนตรงที่ไม่มีภาพขององค์รวม (Holistic) และคาดหวังว่าน่าจะมีเวอร์ชันใหม่ของ Six Sigma ออกมาในลักษณะเป็นภาพใหญ่แทนที่จะเป็นภาพโครงการ Six Sigma หลาย ๆ โครงการมารวมกันเป็นภาพใหญ่ และในที่สุดผมก็คาดได้ถูกต้องคือ มีการนำเอา Lean และ Six Sigma มาบูรณาการเข้ากัน เราสามารถเริ่มโครงการ Lean และ Six Sigma ด้วยภาพองค์รวมขององค์กรได้ด้วยการวาดแผนผังสายคุณค่า (Valve Stream Mapping) ที่จะแสดงให้เห็นถึงกระบวนการธุรกิจ และจุดที่สามารถจะนำมาเป็นโครงการที่ทำให้เกิดผลประโยชน์ได้มากขึ้น
7. การติดตามผลสมรรถนะของทีมงาน โครงการโดยทั่วไปแล้วในระดับผู้บริหารจะติดตามผลจากผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปแบบทางการเงินด้วยกำไรที่เพิ่มขึ้น หรือต้นทุนที่ลดลง คงเพราะมันเป็นการวัดผลเชิงสากลของระดับบริหาร และง่ายต่อการติดตามผลแต่รูปแบบของการติดตามผลทางการเงินอย่างเดียวคงจะไม่พอเพียง ดังนั้นจะต้องมีการวัดผลด้านที่ไม่ใช่ทางการเงินด้วย เพื่อที่จะสร้างสมดุลทั้งทางด้านการเงิน หลักการตรงนี้สามารถประยุกต์กับแนวคิดของ Balanced Scorecard ได้เป็นอย่างดี
8. การพัฒนาปรับปรุงสมรรถนะของทีม ในปัจจุบันมีการวัดประเมินกันมากเหลือเกิน แต่ส่วนใหญ่เราจะเห็นว่าหน้าที่ประเมินนั้นจะมีการเกี่ยวข้องกับบุคคลเพื่อการเลื่อนขั้น หรือเลื่อนตำแหน่งเป็นส่วนใหญ่ แต่การติดตามสมรรถนะของโครงการริเริ่ม เช่น Lean Six Sigma ก็คงจะไม่ใช้แค่การประเมินบุคคล หรือความสามารถของบุคคลเท่านั้น แต่เป็นการประเมินความสามารถขององค์กรในการตอบสนองต่อการพัฒนา เพราะการพัฒนานั้นมีต้นทุน และองค์กรต้องการผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุนในการพัฒนาปรับปรุง
9. ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง คงจะเหมือนกับคำที่ว่า Keep Walking โครงการ Lean Six Sigma ไม่เหมือนกับโครงการทั่วไปที่มีจุดเริ่มต้น และจุดจบหรือจุดสำเร็จของโครงการ แต่โครงการ Lean Six Sigma ไม่เหมือนกัน เพราะว่าขั้นตอนหลังสุดของทั้ง Lean และ Six Sigma คือ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) 10. พัฒนาจนไปบรรจบกับการจัดการโซ่อุปทาน คงจะเหมือนกับที่ผมได้เคยบอกไว้ว่าสุดท้ายของการพัฒนาแนวคิดต่าง ๆ ที่สุดแล้วจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว หลังจากที่ได้พัฒนาปรับปรุงไปหลายโครงการย่อยแล้ว คุณจะพบว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับโซ่อุปทานก็จะเข้ามาเกี่ยวโยงกันในที่สุด คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะมีคนคิดที่จะเอาโซ่อุปทาน Lean และ Six Sigma มารวมกัน อย่างน้อยก็มีผมอีกคนที่คิดเช่นนั้น ลองกลับไปดูแบบจำลอง IMES (Integrated Manufacturing Enterprise Strategy : IMES) ที่ผมได้เขียนไว้เมื่อหลายปีก่อนนั้นประกอบอีกทางหนึ่ง ทิศทางของรวมตัวกันนั้นจะเป็นอย่างไรคงจะต้องคอยดู แล้วผมจะได้พยากรณ์ทิศทางของเทคนิคการบริหารจัดการองค์กรให้ท่านผู้อ่านทราบอีกทีในอนาคตข้างหน้า สรุป จากสภาพการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป และความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจที่มีมากขึ้น ส่งผลให้บริษัท และองค์กรต่าง ๆ ต้องพัฒนาแนวคิดการจัดการขึ้นมาใหม่ หรือบูรณาการจุดแข็งของแนวคิดเดิมที่มีอยู่ขึ้นมาใหม่เพื่อให้สามารถรับมือ และตอบสนองกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ แนวคิด Lean Six Sigma ก็เช่นเดียวกันที่มีการรวมเอาจุดแข็งของทั้ง 2 แนวคิดมาใช้ร่วมกันโดยมีขั้นตอนในการนำแนวคิดนี้มาดำเนินงานอยู่
10 ขั้นตอนด้วยกัน จุดที่น่าสนใจก็คือการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากธุรกิจเป็นพลวัตอยู่ตลอดเวลา แต่การที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้ต้องมีการวัดสมรรถนะด้วย มิฉะนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปพัฒนาที่จุดไหน หรือตรงไหน และเมื่อมีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ มันจะไปบรรจบกับการจัดการโซ่อุปทานด้วยตัวของมันเอง

ที่มา : Webboard http://www.pantown.com/

รอบรู้เรื่อง Lean

|

“ผลกำไร” เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องการ ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต หรือภาคการบริการ แนวทางการเพิ่มกำไร สามารถทำได้ทั้งการรับมาจากภายนอกองค์กร เช่น การขยายตลาดเพิ่ม การรุกตลาดด้วยสินค้าใหม่ และการสร้างขึ้นจากภายในองค์กรเอง เช่น การลดความสูญเปล่า (Waste: กิจกรรมที่ไม่สร้างคุณค่าเพิ่มและไม่จำเป็นต้องทำ) ที่เกิดขึ้น แต่ยังคงได้สินค้าหรือบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ระบบการผลิตแบบลีน (Lean) มีจุดกำเนิดมาจากระบบการผลิตรถยนต์ ด้วยแนวคิดหลัก 5 ประการ ได้แก่
1. ระบุคุณค่าหรือคุณลักษณะของสินค้าและบริการที่ลูกค้าต้องการ ทั้งลูกค้าภายในและภายนอก
2. สร้างกระแสคุณค่า (Value Stream) หรือวางระบบงานทุกๆ ขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ การวางแผนและการผลิตสินค้า การจัดจำหน่าย ฯลฯ โดยพิจารณาถึงกิจกรรมที่ไม่เพิ่มคุณค่าและเป็นความสูญเปล่า แล้วเลือกใช้เฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริงๆ ในการสร้างสินค้าและบริการ เพื่อตอบความต้องการของลูกค้า
3. ทำให้ระบบกิจกรรมต่างๆ ที่สร้างขึ้น สามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง (Flow) โดยปราศจากการติดขัด การอ้อม การย้อนกลับ การรอคอย รวมทั้งการเกิดของเสียในกระบวนการ
4. ปรับใช้ระบบดึง (Pull) หรือ ระบบที่จะดำเนินการเมื่อลูกค้าในขั้นตอนต่อไปต้องการเท่านั้น
5. สร้างคุณค่า และกำจัดความสูญเปล่า (Perfection) อย่างต่อเนื่อง โดยค้นหาความสูญเปล่าที่ถูกซ่อนไว้ และกำจัดออกไปอย่างต่อเนื่อง
จากแนวคิดดังกล่าว นำไปสู่ โครงสร้างของระบบการผลิตแบบลีน อันประกอบด้วย การปลูกจิตสำนึกของพนักงาน (ด้วย Waste & Value Awareness), การถ่ายทอดแนวคิดสู่ทุกระดับขององค์กร (ด้วย Hoshin Planing), การวิเคราะห์สภาพปัจจุบันและประเมินผลการนำระบบมาประยุกต์ใช้ (ด้วย Lean Assessment, Value Stream Mapping), การพัฒนาบุคลากร (ด้วย Lean Manufacturing Training, Small Group Activities, Suggestion), การพัฒนาสถานที่ (ด้วย 5ส, Plant Layout, Visual Factory), การพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ (Maintenance Activities, Cellular Manufacturing, Quick Changover), การประกันคุณภาพ (ด้วย JIDOKA/ Autonomation, Visual Control, Poka-Yoke/ Mistake Proofing, Quality Control Cycle, QA Network Activities), การควบคุมการผลิต (ด้วย Leveled Production, Kanban, Continuous Flow, Takt Time & Cycle Time, Standardized Work) และ การจัดการการเปลี่ยนแปลง (ด้วย Kaizen/ Evolution, Kaikaku/ Revolution) การนำระบบการผลิตแบบลีนมาประยุกต์ใช้ สามารถทำได้ ด้วย 7 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
1. การเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ได้แก่ สถานที่ เครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็น บุคลากรและช่องทางการสื่อสารภายในระหว่างสมาชิกผู้ดำเนินโครงการ รวมถึงการฝึกอบรมให้ความรู้ของระบบลีนแก่ผู้บริหารและคณะทำงาน
2. การระบุคุณค่าของสินค้าและบริการที่ลูกค้าต้องการ ทั้งภายนอกและภายใน แล้วสรุปเป็นข้อกำหนด ส่วนประกอบ กระบวนการ และรายละเอียดการปฏิบัติงานโดยใช้เทคนิคการถ่ายทอดความต้องการของลูกค้าสู่ผลิตภัณฑ์ (Quality Function Deployment; QFD)
3. การสำรวจสถานะปัจจุบันของกระบวนการทั้งหมด แล้วสรุปบนแผนภาพกระแสคุณค่า (Value Stream Mapping) เพื่อระบุปัญหา และนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนากระแสคุณค่าในขั้นตอนถัดไป
4. การประเมินสภาพของกระบวนการ, ตัวชี้วัดผล และเป้าหมายของโครงการตามแนวทางของระบบลีน (LEAN Assessment) เพื่อนำไปใช้ประกอบการวางแผนพัฒนากระบวนการ
5. การวางแผนและดำเนินการปรับปรุงกระบวนการตามแผนภาพกระแสคุณค่าอนาคต (Future Value Steam Mapping) ร่วมกับการใช้เครื่องมือพัฒนาที่เหมาะสม (ตามโครงสร้างของระบบข้างต้น) โดยพิจารณากิจกรรมที่ไม่เพิ่มคุณค่า และเป็นความสูญเปล่าในทุกขั้นตอนจากแผนภาพกระแสคุณค่า (Value Steam Mapping) ที่สร้างขึ้น
6. การขับเคลื่อนกิจกรรมตามกระแสคุณค่า (Value Steam) อย่างต่อเนื่อง เน้นเฉพาะสิ่งที่ลูกค้าต้องการ โดยการควบคุมระบบการผลิตแบบลีน ร่วมกับการสร้างระบบคัมบัง (Kanban) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของระบบดึง
7. การสร้างคุณค่าและกำจัดความสูญเปล่าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการค้นหาความสูญเปล่าที่มองไม่เห็น แล้วปรับปรุงกระบวนการด้วยระบบการผลิตแบบลีน พร้อมทั้งขยายผลสู่บริเวณอื่นๆ ไปจนถึง Supply Chain อันได้แก่ ลูกค้า ผู้ส่งมอบ และผู้รับเหมาช่วงการผลิต
ระบบการผลิตแบบลีน (Lean) เป็นระบบที่มุ่งเน้นให้สินค้าหรือบริการมีคุณภาพดีที่สุด (Quality) ด้วยต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดอย่างเหมาะสม (Cost) และใช้เวลาผลิตสั้นที่สุด เพื่อทันต่อความต้องการของลูกค้า (Delivery) อันนำมาซึ่งผลกำไรด้วยการเพิ่มผลผลิตจากภายในองค์กรเอง ดังนั้นระบบการผลิตแบบลีน (LEAN) จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจในสภาวการณ์ปัจจุบัน

จดหมายข่าวรายเดือน สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
ชัยนันท์ แสงสุระธรรม

แผนที่ความคิด(MIND MAP)

|




Mind Map คือ อะไร

Mind Map หรือ แผนที่ความคิด เป็นวิธีการบันทึกความคิดเพื่อให้เห็นภาพของความคิดที่หลากหลายมุมมอง ที่กว้าง และที่ชัดเจน โดยยังไม่จัดระบบระเบียบความคิดใดๆทั้งสิ้น เป็นการเขียนตามความคิด ที่เกิดขึ้นขณะนั้น การเขียนมีลักษณะเหมือนต้นไม้แตกกิ่งก้าน สาขาออกไปเรื่อยๆ ทำให้สมองได้คิดได้ทำงานตามธรรมชาติอย่างและมีการจินตนาการกว้างไกล
แผนที่ความคิด ยังเป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการบันทึกความคิดของการอภิปรายกลุ่ม หรือการระดมความคิด โดยให้สมาชิกทุกคนเสนอความคิดเห็น และวิทยากรจะทำการ จดบันทึกด้วยคำสั้นๆ คำโตๆ ให้ทุกคนมองเห็น พร้อมทั้งโยงเข้าหากิ่งก้านที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อรวบรวมความคิดที่หลากหลายของทุกคน ไว้ในแผ่นกระดาษแผ่นเดียว ทำให้ทุกคนได้เห็นภาพความคิดของผู้อื่นได้ชัดเจน และเกิดความคิดใหม่ต่อไปได้


ความเป็นมาของ Mind Map

แผนที่ความคิด เป็นการนำเอาทฤษฎีที่เกี่ยวกับสมองไปใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่างสูงสุด นาย ธัญญา ผลอนันต์ เป็นผู้นำความคิดและวิธีการเขียนแผนที่ความคิดเข้ามาใช้ และเผยแพร่ในประเทศไทย ผู้คิดริเริ่มคือโทนี บูซาน (Tony Buzan) เป็นชาวอังกฤษ เป็นผู้นำเอาความรู้เรื่องสมองมาปรับใช้เพื่อการเรียนรู้ของเขา โดยพัฒนาการจากการจดบันทึกแบบเดิมที่ เป็นตัวอักษร เป็นบรรทัด ๆ เป็นแถว ๆ ใช้ปากกาหรือดินสอในการจดบันทึก เปลี่ยนมาเป็นบันทึกด้วยคำ ภาพ สัญลักษณ์ แบบแผ่รัศมี ออกรอบ ๆ ศูนย์กลางเหมือนการแตกแขนงของ กิ่งไม้ โดยใช้สีสัน การเขียนแผนที่ความคิดของโทนี บูซาน เป็นการบันทึกในทุกๆเรื่อง ทั้ง ชีวิตจริงส่วนตัวและการงาน เช่น การวางแผน การตัดสินใจ การช่วยจำ การแก้ปัญหา การ นำเสนอ และการเขียนหนังสือ เป็นต้น การบันทึกแบบนี้เป็นการใช้ทักษะการทำงานร่วมกัน ของสมองทั้งสองซีก คือ ซีกซ้าย วิเคราะห์ คำ ภาษา สัญลักษณ์ ระบบ ลำดับ ความเป็นเหตุ เป็นผล ส่วนสมองซีกขวา จะทำหน้าที่สังเคราะห์คิด สร้างสรรค์ จินตนาการ ความงาม ศิลปะ จังหวะ โดยมีแถบเส้นประสาทคอร์ปัสคอโลซั่มเป็นเสมือนสะพานเชื่อม


หลักการเขียน Mind Map

การเขียน Mind Map ใช้กระดาษแผ่นเดียว การเขียนใช้สีสันหลากหลาย ใช้โครงสร้างตามธรรมชาติที่แผ่กระจายออกมาจุดศูนย์กลาง ใช้เส้นโยง มีเครื่องหมาย สัญลักษณ์ และรูปภาพที่ผสมผสานร่วมกันอย่างเรียบง่าย สอดคล้องกับการทำงานตามธรรมชาติของสมอง


วิธีการเขียน Mind Map

1. เตรียมกระดาษเปล่าที่ไม่มีเส้นบรรทัดและวางกระดาษภาพแนวนอน
2. วาดภาพสีหรือเขียนคำหรือข้อความที่สื่อหรือแสดงถึงเรื่องจะทำ Mind Map กลางหน้ากระดาษ โดยใช้สีอย่างน้อย 3 สี และต้องไม่ตีกรอบด้วยรูปทรงเรขาคณิต
3. คิดถึงหัวเรื่องสำคัญที่เป็นส่วนประกอบของเรื่องที่ทำ Mind Map โดยให้เขียนเป็นคำ ที่มีลักษณะเป็นหน่วย หรือเป็นคำสำคัญ (Key Word) สั้น ๆ ที่มีความหมาย บนเส้น ซึ่งเส้นแต่ละเส้นจะต้องแตกออกมาจากศูนย์กลางไม่ควรเกิน 8 กิ่ง
4. แตกความคิดของหัวเรื่องสำคัญแต่ละเรื่องในข้อ 3 ออกเป็นกิ่ง ๆ หลายกิ่ง โดยเขียนคำหรือวลีบนเส้นที่แตกออกไป ลักษณะของกิ่งควรเอนไม่เกิน 60 องศา
5. แตกความคิดรองลงไปที่เป็นส่วนประกอบของแต่ละกิ่ง ในข้อ 4 โดยเขียนคำหรือวลีเส้นที่แตกออกไป ซึ่งสามารถแตกความคิดออกไปเรื่อยๆ
6. การเขียนคำ ควรเขียนด้วยคำที่เป็นคำสำคัญ (Key Word) หรือคำหลัก หรือเป็นวลีที่มี
ความหมายชัดเจน
7. คำ วลี สัญลักษณ์ หรือรูปภาพใดที่ต้องการเน้น อาจใช้วิธีการทำให้เด่น เช่น การล้อม
กรอบ หรือใส่กล่อง เป็นต้น

8. ตกแต่ง Mind Map ที่เขียนด้วยความสนุกสนานทั้งภาพและแนวคิดที่เชื่อมโยงต่อกัน


ข้อดีของการทำแผนที่ความคิด

1. ทำให้เห็นภาพรวมกว้าง ๆ ของหัวข้อใหญ่ หรือขอบเขตของเรื่อง
2. ทำให้สามารถวางแผนเส้นทางหรือตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เพราะรู้ว่าตรงไหนกำลังจะไปไหนหรือผ่านอะไรบ้าง
3. สามารถรวบรวมข้อมูลจำนวนมากลงไว้ในกระดาษแผ่นเดียวกัน
4. กระตุ้นให้คิดแก้ไขปัญหา โดยเปิดโอกาสให้มองเห็นวิธีใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์
5. สร้างความเพลิดเพลินในการอ่านและง่ายต่อการจดจำ


สรุป

Mind Map เป็นแผนที่ความคิดที่อัจฉริยะ เปรียบเสมือนลายแทงที่นำไปสู่ การจดจำ การเรียบเรียง การจัดระเบียบข้อมูลตามธรรมชาติ การทำงานของสมองตั้งแต่ต้น นั่นหมายความว่า การจำและฟื้นความจำ หรือการเรียกข้อมูลเหล่านั้นกลับมาใช้ในภายหลัง จะทำได้ง่าย และมีความถูกต้องแม่นยำกว่าการใช้เทคนิคการจดบันทึกแบบเดิม


ที่มา - เอาสารของสำนักงานเกษตรจังหวัดพระนตรศรีอยุธยา


ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Mind Mapping

1. รู้น้อยไม่เกี่ยงงานคนเราหากมีความรู้น้อยต้องไม่ท้อถอย หรือ เลือกงาน เพราะการทำงานคือหนทางเพิ่มความรู้และประสบการณ์
2. เที่ยงธรรมและเยือกเย็นผู้บริหารที่ดีต้องปกครองคนด้วยความเที่ยงธรรม และ สุขุมเยือกเย็นเป็นสำคัญ
3. ขยัน อดทน รักษาเครดิต คบคนดี อย่าเอาเปรียบใคร และ ไม่สร้างศัตรูคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องมีความขยัน อดทน ประพฤติตนน่าเชื่อถือ รู้จักคบคนดีเพราะคนดีย่อมนำพาไปสู่สิ่งดีๆ และที่สำคัญไม่ควรเอาเปรียบหรือเป็นศัตรูกับผู้อื่น
4. เป็นร่มเงาให้ประโยชน์สุขต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาและอุดมด้วยดอกผลอันเอื้อประโยชน์แก่ผู้ปลูกทำนุบำรุง และคนทั่วไปฉันใด องค์กรที่เจริญเติบโตมั่นคง ย่อมควรจะเอื้อประโยชน์และเกื้อกูลแก้บุคคลากรและสังคมฉันนั้น
5. รักตนเอง รักครอบครัว รักษริษัทฯบุคคลใดดำเนินชีวิตด้วยพื้นฐานจากพลังแห่งความรัก ในตนเอง ครอบครัว และองค์กรเป็นสำคัญ บุคคลนั้นย่อมประสบความสำเร็จที่ยั่งยืนทั้งในชีวิตส่วนตัว และ ชีวิตการทำงาน
6. ความรู้เหมือนดาบ ยิ่งใช้ยิ่งคมผู้ใดมีความรู้แล้วนำความรู้ของตนมาใช้ และถ่ายทอดให้ผู้อื่น ผู้นั้นจะยิ่งเกิดความชำนาญ และเป็นการเพิ่มคุณค่าแห่งความรู้นั้นด้วย เปรียบเสมือนดาบที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ และได้รับการเอาใจใส่ดูแล ให้คงไว้ซึ่งความคมตลอดเวลา
7. เรียนรู้สิ่งใด เรียนรู้จากคนเรื่องราวทุกอย่างคนเป็นผู้สร้างขึ้น ดังนั้น ถ้าต้องการเรียนรู้สิ่งใดให้เรียนรู้จากคน ซึ่งล้วนเป็นขุมทรัพย์แห่งความรู้ และประสบการณ์
8. การใช้โทสะ มีแต่สร้างความรุนแรงการใช้โทสะเข้าตัดสินปัญหา ไม่เกิดผลดีกับใครเลย มีแต่สร้างความรุนแรงเพิ่มขึ้น
9. ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวกพ้องอดอยากแค่ไหน จงทำตัวเป็นเสือ ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวกเดียวกัน แต่ต้องพยายามเป็นผู้ช่วยเหลือผองเพื่อนจะดีกว่า
10. ทบทวนอดีต ศีกษาปัจจุบัน เพื่อวางอนาคตการทบทวนประสบการณ์จากอดีต ทั้งของตนเองและผู้อื่น และการศึกษาเรื่องราวจากคนและสิ่งรอบข้างในปัจจุบัน เป็นแนวทางให้เราวางอนาคตได้ถูกต้อง แม่นยำยิ่งขึ้น
11. มากคน มากวาสนาคนเราทุกคนล้วนมีวาสนาบารมี ถ้าทุกคนเอาวาสนาบารมีมารวมกัน บริษัทฯก็จะเจริญก้าวหน้า
12. อย่าปล่อยชีวิตให้หมดไปอย่างไร้ค่าคนเราถ้าเข้าใจการจากไปอย่างไม่ย้อนกลับของเวลา ย่อมใช้ชีวิตในแต่ละช่วงอย่างมีค่า
13. เร็ว ช้า หนัก เบาในการทำงาน ควรหมั่นพิจารณาอยู่เสมอว่า งานไหนทำก่อน งานไหนทำทีหลัง งานไหนต้องจริงจัง และ งานไหนที่พอควร
14. ความสำเร็จย่อมเป็นของผู้มีความเพียรอยากประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน ต้องพาตัวเข้าหางาน อย่าคอยให้งานมาหาตัว เพราะงานคือทุกอย่างของชีวิต ที่เราต้องพากเพียรและพยายามทำตลอดไป
15. ไม่มีอะไรเกินความพากเพียรของมนุษย์คนเราถ้าไม่นิ่งนอนใจ แต่เพียรพยายามใช้สติปัญญาต่อสู้อย่างเต็มกำลังแล้ว ในที่สุดเราก็จะเป็นผู้มีชัยชนะ
16. ความสำเร็จของงาน อยู่ที่คุณภาพของคนหัวใจในการทำงานให้สำเร็จ มิใช่อยู่ที่การสร้างคนให้มีความเชี่ยวชาญในการทำงานเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงการสร้างเสริมให้ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความรัก และความสามัคคีด้วย
17. แค่หยุดอยู่กับที่ ก็กลายเป็นผู้ล้าหลังนักธุรกิจต้องเป็นคนไม่หยุดนิ่งเพียงวันนี้ แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัย ทันโลก พร้อมที่จะก้าวสู่วันพรุ่งนี้ได้เสมอ
18. ชมเกินจริงเป็นโทษ ดีเกินเหตุเสียน้ำใจการชมเชย อย่าให้เขาเกิดความหลงระเริง จนอาจลืมตัวกับความสำเร็จ ก่อให้เกิดความประมาท ที่อาจนำไปสู่ความล้มเหลวในอนาคตได้ การติ ต้องทำด้วยจิตใจที่หวังดีและใช้คำพูดที่สร้างสรร
19. ผู้ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มักเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไปความเป็นคนมีอารมณ์ดี ยิ้มแย้มมีชีวิตชีวานั้น เป็นเสน่ห์ของมนุษย์อย่างแท้จริง
20. ทำดีเปรียบการเดินทวนกระแสน้ำ ทำชั่วเปรียบการลอยตามน้ำการทำความดีเปรียบเหมือนปลาว่ายทวนน้ำ ขึ้นไปที่สูงจะพบแต่น้ำที่ใสสะอาดฉันใด คนที่พยายามทำความดีแม้จะลำบากยากเย็น ก็ย่อมพบชีวิตที่ดี สะอาดสดใส อันเป็นมงคลแก่ตนเองฉันนั้น
21. มนุษยสัมพันธ์ คือพื้นฐานของความสำเร็จองค์กรจะเจริญรุ่งเรืองได้ บุคคลในองค์กรต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความสุภาพอ่อนโยน รู้จักข่มอารมณ์และให้อภัยซึ่งกันและกันเสมอ
22. ความก้าวหน้าที่แท้จริง ย่อมเกิดจากฝีมือการทำงานความก้าวหน้าที่ได้มาจากความสามารถในการทำงาน จะให้ผลที่จีรังยั่งยืน
23. งานสำเร็จได้ดี เพราะทีมงานดีการประสานพลังใจและพลังความคิดของทีมงานที่ดี นำมาซึ่งความสำเร็จของงาน
24. อดทนและอดกลั้น นำไปสู่ความสำเร็จคนที่อดทนต่อปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้ดีกว่าคนอื่น จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
25. อยากขยายใหญ่ ใจต้องกว้าง ในการถ่ายทอดความรู้ให้ลูกน้องการขยายกิจการให้ใหญ่โต ต้องอาศัยพลังความสามารถ ความรู้ และความคิดจากทุกคน ฉะนั้น หัวหน้างานต้องใจกว้าง หมั่นสอนและฝึกฝนความชำนาญให้ลูกน้องเสมอ
26. คนคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในโลกคนเป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งของโลก แต่คนจะมีคุณค่ายิ่ง หากรู้จักประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม
27. ความรู้ต้องมองสูง ความเป็นอยู่ต้องมองต่ำความรู้เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ คนที่อยากก้าวหน้าต้องใฝ่รู้ เรียนรู้ให้มากขึ้นอยู่เสมอ แต่ความเป็นอยู่นั้นต้องเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ
28. ความรักและความเข้าใจกัน เป็นความสุขอย่างยิ่งของผู้มีภูมิปัญญาคนที่มีภูมิปัญญา จะมีความสุขอย่างแท้จริง หากรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น ด้วยความรักและความเข้าใจที่ดีต่อกัน
29. ศึกษาคนเพื่อมอบงาน ให้เหมาะกับความสามารถหัวหน้างานที่ดีต้องเป็นคนช่างสังเกตและใกล้ชิดลูกน้อง สามารถวิเคราะห์ได้ว่า งานใดเหมาะกับความสามารถของลูกน้องคนใด เพื่อมอบหมายงานให้ตรงกับความสามารถของเขา
30. ความประมาท ความหลงตัวเอง อาจนำไปสู่ความพินาศการกระทำสิ่งใดโดยขาดความระมัดระวัง และคิดว่าตนเองเก่งเหนือผู้อื่นเสมอ อาจนำมาซึ่งความล้มเหลว แต่หากกระทำสิ่งใดด้วยความรอบคอบ และอ่อนน้อม ย่อมนำไปสู่ความสำเร็จ
31. เข็มเล่มหนึ่ง ไม่มีปลายแหลมสองด้านทุกคนมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย คนเราจึงไม่มีใครเก่งทุกอย่าง เปรียบเสมือนเข็มที่มีปลายแหลม สำหรับเย็บ ปะ ชุน ได้เพียงด้านเดียว ฉะนั้น คนเราควรรู้และทบทวนจุดเด่น และจุดด้อยของตนอยู่เสมอ
32. หนังฉายซ้ำไม่ตื่นเต้น ตลกมุขเก่าไม่มีคนฮางานทุกงานควรต้องได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น และสอดคล้องกับวันเวลาที่เปลี่ยนไปเสมอ
33. ผู้เป็นพนักงานขายที่ดี ใช่ว่าจะเป็นซุปเปอร์ที่ดีได้เสมอไปผู้มีความสามารถสูงในงานอย่างหนึ่ง ใช่จะทำงานอีกอย่างหนึ่งได้ดีเสมอไป ดังนั้น ผู้จะเป็นหัวหน้าที่ดีได้ นอกจากจะต้องทำงานเก่งแล้ว ต้องเข้าใจวิธีสอนและปกครองคนด้วย(ซุปเปอร์ หรือ ซุปเปอร์ไวเซอร์ = Supervisor / หัวหน้างานขาย)34. หมั่นเล่าสร้างความจำ หมั่นซักถามสร้างความรู้เมื่อได้เรียนรู้สิ่งใดแล้ว หมั่นถ่ายทอดให้ผู้อื่นรับรู้ด้วย จะช่วยให้เราจำได้ดีขึ้น และเมื่อไม่รู้สิ่งใดก็อย่าอายที่จะถาม เพราะจะช่วยให้เรารู้มากขึ้น ในขณะที่โอ้อวดว่ารู้หมดแล้ว แท้จริงคือคนที่ไม่รู้อะไรเลย
35. มอง ฟัง คิด ถาม พื้นฐานของการเรียนรู้พื้นฐานที่ดีของการเรียนรู้ต้องอาศัยทั้งการมอง ฟัง คิด ถาม ประกอบกัน อย่าเพียงแต่มอง ฟัง หรือ ถาม แล้วนำมาใช้โดยไม่มีการคิดไตร่ตรอง หาเหตุผลเสียก่อน
36. ความเป็นเพื่อนเป็นสิ่งที่ดีงามที่มนุษย์จะพึงปฎิบัติต่อกันคนเราจะมีความสุขในชีวิต หากรู้จักมอบความเป็นเพื่อนให้แก่คนรอบข้าง รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างจริงใจ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
37. เป็นคนต้องรู้จักตัวเองการหมั่นสำรวจตัวเอง ย่อมทำให้คนเรารู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง สามารถแก้ไขข้อบกพร่อง และพัฒนาตนเองได้ถูกต้องเสมอ
38. พลังกายในวัยหนุ่มมีเหลือเฟือ ควรใช้ให้คุ้มค่าเกิดเป็นคนต้องใช้ชีวิตคุ้มค่าต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสังคม อย่าให้มีช่วงเวลาใดที่ต้องรู้สึกเสียดาย ที่ให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์
39. การแข่งขันบังคับให้ต้องใช้สมองการแข่งขันคือ การที่ทำให้คนเราต้องคิดและตื่นตัวเสมอ ทำให้เกิดการพัฒนาความสามารถตลอดเวลา
40. อารมณ์ชั่ววูบ อาจทำลายมิตรภาพที่ยืนยาวได้การแก้ปัญหาโดยขาดสติ หรือใช้อารมณ์ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีระหว่างกัน และอาจลุกลามไปสู่ความบาดหมางกันได้
41. การพูดจาอ่อนน้อมถ่อมตนทำให้คนยอมรับการรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ช่วยให้เราครองใจผู้อื่นได้
42. ความคิดสร้างสรรค์ คือพื้นฐานสำคัญของผู้ประกอบการค้าในการทำธุรกิจ ต้องพัฒนาความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ เพราะการผูกติดกับความคิดเก่าๆ ในขณะที่เวลาเปลี่ยนไปนั้น เป็นการปิดกั้นความเจริญก้าวหน้าของธุรกิจ
43. อย่าหลงเชื่อคำกล่าวของผู้อื่น โดยขาดสติและความรอบคอบก่อนที่จะเชื่อหรือคล้อยตามคำพูดใดๆ ของผู้อื่น ต้องใช้สติไตร่ตรองด้วยเหตุและผลอย่างรอบคอบเสียก่อน
44. เป็นคนต้องรักตัวเองในทางที่ถูกคนที่รักตัวเองอย่างแท้จริง คือคนที่สร้างคุณค่าให้ตนเองอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการหมั่นศึกษาพัฒนาตนเอง ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีเพื่อนที่ดี และหลีกหนีให้ห่างไกลจากอบายมุข
45. หากอยากมีอนาคตที่มั่นคง จงอย่าห็นแก่ตัวคนดีย่อมไม่เห็นแก่ตัว ชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน คนเช่นนี้สมควรได้รับการสนับสนุนให้ได้ดีมีอนาคต
46. การศึกษาข้อบกพร่องของตน ทำให้เรารู้จักตัวเองและผู้อื่นดีขึ้นคนเรามีข้อบกพร่องในตนเองทุกคนไม่มากก็น้อย ฉะนั้น ให้เรารู้จักพิจารณาข้อบกพร่องของตนเองด้วยปัญญา จะทำให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง และช่วยให้เข้าใจผู้อื่น ที่เขาอาจมีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับเรา
47. ไม่มีใครเก่งแต่เพียงผู้เดียวทุกคนภายในองค์กรเปรียบเสมือนเฟืองจักรกลแต่ละชิ้น ในเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ต้องทำงานประสานกัน ถ้าเฟืองชิ้นใดชำรุดหรือบกพร่อง เครื่องจักรก็ไม่สามารถทำงานได้ นั่นคือ งานใดๆ จะสำเร็จด้วยดีต้องอาศัย ความสามารถและการประสานงานของทุกคนในทีมงาน มิใช่สำเร็จได้ด้วยคนเพียงคนเดียว
48. ผู้มีความคิดวิจารณญาณ จะก้าวทีละขั้นอย่างมั่นคงการขยายแนวธุรกิจอย่างมั่นคง ต้องอาศัยการพิจารณา อย่างรอบคอบถึงหลักการและกระบวนการ ปรับปรุงระบบการทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
49. อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จนขาดมนุษยธรรมคนที่ทำธุรกิจแบบไร้คุณธรรมเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนย่อมจะหาความสุขใจและความเจริญในชีวิตได้ยาก
50. แม้นจะลำบากเพียงใดก็ย่อมฟื้นคืนเป็นดีได้จงคิดเสมอว่า คนเรานั้นแม้จะประสบความล้มเหลว ก็ย่อมสามารถปรับปรุงให้กลับคืนดีได้ หากไม่ท้อแท้ต่อโชคชะตา และคิดเสมอว่า เมื่อล้มแล้วก็สามารถลุกขึ้นยืนได้อยู่เสมอ
51. สร้างคนต้องใช้เวลาการสร้างคนเหมือนปลูกต้นไม้ใหญ่ ต้องอดทนใช้เวลานาน ไม่เหมือนการปลูกถั่วงอก ซึ่งวันเดียวก็เห็นผล
52. เมื่อจะแหงนมองฟ้า ก็อย่าลืมว่าเท้าตัวเองสัมผัสดินอยู่คนเราต้องเตือนตนเองไม่ให้ลืมตัว อย่าทะนงว่าตนนั้นเลิศเลอไปกว่าคนอื่น จงคิดเสมอว่าในโลกนี้มีคนที่ดีกว่าเราอีกมาก
53. จะให้ลูกน้องกล้าตัดสินใจ ผู้ใหญ่ต้องรับผิดชอบความเสี่ยงเมื่อเห็นว่าลูกน้องสามารถทำงานได้ ต้องมอบให้เขาทำ ถ้าเขาทำผิดพลาด เราก็ต้องช่วยรับผิดชอบด้วย
54. ปลูกต้นไม้ใหญ่ อย่าเก็บผลไว้กินแต่เพียงผู้เดียวการทำงาน เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว ควรแบ่งปันผลประโยชน์ให้ผู้อื่นและส่วนรวมด้วย
55. ความรักเป็นความสุขเหนือทรัพย์สินเงินทองคนที่มีความรัก มีจิตใจดี และมองโลกในแง่ดี จะมีความสุขยิ่งกว่าสิ่งใดๆ
56. มองกระจกที่มีปรอท จะไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากตัวเองคำว่า "ปรอท" ภาษาจีนใช้คำว่า "สุ่ยหยิน" หมายถึง เงินเหลว คนจีนเปรียบคนที่เห็นแก่ตัวไม่เห็นใจผู้อื่น คิดถึงแต่ตนเอง เหมือนคนที่มองแต่กระจกฉาบปรอท ซึ่งไม่มีวันที่จะเห็นสิ่งอื่น นอกจากตนเองเท่านั้น
57. การล่าช้ามิได้หมายความว่าเป็นผู้ล้าหลังอย่ารีบร้อนเพราะกลัวว่าจะล้าหลังคู่แข่ง ควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ จะได้ไม่ผิดพลาด
58. ชนะใจมิตรและศัตรูได้ คือผู้ชนะที่แท้จริงชนะสิ่งใดก็ไม่มีความหมายเท่าชนะใจ ทั้งมิตรและศัตรู
59. กินข้าวอย่างมังกร ทำงานอย่างเสือคนจีนมองมังกรเป็นสัตว์ที่สง่างาม ฉะนั้นถ้าจะทำอะไรรวดเร็วก็ต้องเร็วแบบสง่างาม ส่วนเสือนั้นคนจีนมองว่าปราดเปรียวในการล่าเหยื่อ และไม่กินลูกตัวเอง หมายถึงให้ทำงานอย่างคล่องตัว ทำงานเป็นทีม และไม่รังแกพวกเดียวกัน
60. ตักน้ำเต็มได้แค่ภาชนะบรรจุเท่านั้นในการดำเนินธุรกิจ ถ้ารู้จักเสียสละแบ่งปันผลประโยชน์ให้ผู้อื่นหรือสังคม รวมทั้งจ่ายภาษีให้รัฐได้พัฒนาประเทศอย่างเต็มที่ ธุรกิจก็จะเจริญรุ่งเรืองขยายกิจการใหญ่ขึ้นได้ อุปมาเหมือนภาชนะที่มีน้ำเต็มแล้ว ตักน้ำออกไปทำประโยชน์ที่อื่นบ้าง ก็จะมีโอกาสจะตักน้ำเติมเข้ามาได้อีก และมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีโอกาสที่จะเพิ่มจำนวนภาชนะ หรือขยายขนาดภาชนะให้ใหญ่ขึ้นได้
61. สะสมลาภ ยศ ความดี เพื่อประโยชน์ในภายภาคหน้าถ้าจะให้ชื่อเสียงดี มีเกรียติยศ มีภาพพจน์ดี เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปในอนาคต ต้องกระทำความดีอย่างสม่ำเสมอ
62. เดินเร็ว ฝีเท้าย่อมไม่สวยและอาจหกล้มได้จะก้าวให้มั่นคงและกิจการไม่ล้มเหลวต้องรอบคอบเสมอ
63. เกรียติที่สูง ไม่จำเป็นต้องให้ตัวเองอวดอ้างถ้าเราทำตัวเหมาะสมกับคนที่มีเกรียติแล้วไม่อวดอ้าง คนอื่นก็จะมอบเกรียติให้เราเอง
64. การช่วยเหลือผู้อื่น และมองคนในแง่ดี ทำให้เกิดสุขทางใจการทำบุญ ทำทาน ช่วยเหลือผู้อื่น มองหรือคิดถึงผู้อื่นในแง่ดี ทำให้จิตใจของตนดีและมีความสุขได้
65. ผู้ที่เป็นผู้นำได้ ต้องผ่านความลำบากมาก่อนคนที่เคยลำบากมาแล้วย่อมเป็นหัวหน้างานที่สามารถให้กำลังใจกับลูกน้องได้ดี
66. ทำงานมากก็ผิดพลาดมาก ทำน้อยก็ผิดพลาดน้อยคนเราทำงานก็ต้องมีการผิดพลาดบ้าง คนที่ไม่มีความผิด ก็คือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
67. หากดีแต่พูด ไม่ลงมือทำ ความคิดก็ไม่อาจเป็นจริงได้เมื่อไม่ลองปฏิบัติก็ไม่รู้ว่าที่คิดนั้นทำง่ายหรือยาก งานบางอย่างอาจพูดง่ายแต่ทำยาก
68. การทำงาน ต้องมีเป้าหมายการทำงานโดยไม่มีเป้าหมาย เหมือนคนที่ไม่มีจุดมุ่งหมายของชีวิต
69. เราพูดด้วยความโมโหเพียงครั้งเดียว แต่อยู่ในใจของคนอื่นตลอดชีวิตการพูดโดยใช้อารมณ์ ไม่ใช่สติไตร่ตรองเสียก่อน แม้เพียงครั้งเดียวก็อาจทำลายทั้งตนเอง และมิตรภาพได้ตลอดไป
70. ความใกล้ชิด ย่อมนำมาซึ่งความเข้าใจ และผลของงานที่ดีการทำงานใกล้ชิดกับลูกน้อง หัวหน้านอกจากมีโอกาสศึกษาผลของงานแล้ว ยังได้ศึกษานิสัยการทำงานของลูกน้องด้วย
71. ทำการค้าต้องเดินสายกลาง ยึดหลักมั่นคงไว้ก่อนทำการค้าอย่าลงทุนเกินตัว ต้องเก็บส่วนหนึ่งไว้ เป็นความมั่นคงของตนเอง และครอบครัวด้วย
72. ผิดครั้งแรกเป็นครู แต่ผิดซ้ำสองนั้นถือว่าโง่คนเราทำงานก็ต้องผิดพลาด แต่สิ่งสำคัญต้องจดจำความผิดนั้น นำมวิเคราะห์หาสาเหตุ ถ้าผิดซ้ำซากก็เหมือนคนที่หาบทเรียนจากประสบการณ์ไม่ได้
73. คนจะโง่ หรือ ฉลาด ดูได้จากคำพูดคำพูดเปรียบเหมือนประตูของจิตใจ คนโง่จะพูดเรื่องที่ขาดหลักคิดและเหตุผล ในขณะที่คนฉลาดจะมีเหตุผลและหลักคิดที่ดี
74. ไม่มีใครเคยตายเพราะงานหนักในการทำงาน ให้ยึดหลักว่าทำเข้าไปเถิดสิ่งที่ว่ายาก เพราะยิ่งทำสิ่งที่ยากมาก หรือหนักมาก ก็ยิ่งรู้มาก
75. ชีวิตการศึกษา ต่างจากชีวิตการทำงานในชีวิตการศึกษา เราจะรับความรู้จากครูบาอาจารย์ คนที่จบการศึกษาใหม่ๆ มักจะยึดติดกับทฤษฏีที่ร่ำเรียนมา เปรียบเสมือนมีศรีษะและความคิดเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีด้านและมุมที่ตายตัว จึงเข้ากับผู้อื่นได้ยากแต่ในชีวิตการทำงาน เราต้องหาความรู้จากสิ่งรอบข้างและประสบการณ์ แล้วถ่ายทอดต่อให้ผู้อื่น จึงต้องปรับตัวเข้ากับผู้อื่นให้ได้ เปรียบเหมือนพัฒนาศรีษะและความคิดของตน จากรูปสี่เหลี่ยมให้เป็นทรงกลม ทรงรี และ ทรงแหลมในที่สุด เพราะรูปทรงแหลม สามารถสอดแทรกไปได้ง่าย หมายความว่าคนผู้นั้นมีความสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้
76. ตระกูลที่สะสมแต่กรรมดี ย่อมประสบแต่สิ่งสิริมงคลชีวิตของคนเราต้องทำแต่สิ่งที่ดีงาม จึงจะเจริญ
77. ความรู้มีอยู่ทุกหนแห่ง อยู่ที่เราจะรับรู้หรือไม่เราหาความรู้ได้ทุกหนแห่งทุกเวลา อยู่ที่เราจะเก็บเกี่ยวอย่างไรและเมื่อไร บางคนมีความสามารถในการเก็บเกี่ยวซึมซับความรู้ จากสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ อาจมีความรู้มากกว่าคนที่จบจากมหาวิทยาลัยเสียอีก และบางครั้งความรู้ที่ได้จากสถานการณ์จริง และประสบการณ์นั้น สามารถทำมาใช้ในชีวิตได้ดีกว่า
78. หัวหน้าที่ดีต้องรู้จักชื่นชมลูกน้องหัวหน้างานที่ค้นหาจุดเด่นของลูกน้องแล้วชมเชย จะเป็นกำลังใจให้ลูกน้องหมั่นทำความดีต่อไปแต่หัวหน้างานที่คอยแต่จะค้นหาจุดด้อยมาตำหนิ จะทำให้ลูกน้องหมดกำลังใจ กล่าวได้ว่าเป็นคนที่มองไม่เห็นคุณค่าของลูกน้อง
79. ร่างกายต้องการอาหารกายฉันใด จิตใจต้องการอาหารใจฉันนั้นขณะที่ร่างกายของคนเราต้องการอาหารเพื่อเป็นพลังในการมีชีวิตจิตใจของคนเราก็ต้องการความรู้และหลักคิดที่ดี เพื่อเป็นพลังในการเป็นคนดี มีจิตใจดีเช่นกัน
80. ปลูกต้นไม้ใหญ่ใช้เวลาร้อยปี สร้างคนใช้เวลาสิบปีการจะสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แข็งแกร่งมีคุณค่า ต้องใช้ความอดทน ใช้เวลา โดยเฉพาะการสร้างคนหนึ่งคนให้เก่ง ยิ่งต้องใช้ความอดทนและใช้เวลามาก ทั้งตัวผู้สร้างและผู้ถูกสร้าง เพราะนั่นหมายถึง การสร้างให้คนคนนั้นเพียบพร้อมทั้งความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์
81. ทำคุณให้ผู้อื่นต้องลืม ผู้อื่นทำคุณให้ต้องจำหากเราเคยทำประโยชน์หรือช่วยเหลือใครไว้ อย่าจดจำหรือคาดหวังการตอบแทน เพราะอาจไม่ได้ดังที่หวัง หรือ เผลอไปทวงบุญคุณให้เขาเสียความรู้สึก แต่ถ้ามีใครช่วยเหลือเราต้องจดจำให้แม่น เพื่อหาโอกาสตอบแทนบุญคุณ
82. คนที่ชอบโยนความผิดให้ผู้อื่น เป็นคนที่ยากจะพัฒนาให้ดีได้คนบางคนไม่ยอมรับความผิดของตน ชอบหาแพะรับบาป หมกมุ่นกับการหาวิธีโยนความผิดให้ผู้อื่น แทนที่จะใช้เวลาในการพัฒนางานของตน คนประเภทนี้ ยากที่จะพัฒนาได้
83. อยากเจริญก้าวหน้า ต้องทำตัวเหมือนคนกำลังขึ้นเขาคนเดินขึ้นภูเขา จะต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเสมอ เปรียบเสมือนคนอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งจะมีแต่คนรัก แต่คนเดินลงจากภูเขาจะเอนตัวไปข้างหลัง เปรียบเสมือนคนเย่อหยิ่งจองหอง ซึ่งไม่มีใครชอบ ดังนั้น ถ้าต้องการให้มีคนรัก และช่วยสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า ควรประพฤติตนเสมือนคนกำลังเดินขึ้นเขา
84. ผลักน้ำออกไป น้ำไหลเข้ามา วักน้ำเข้ามา น้ำไหลออกไปคนที่เป็นผู้ให้ มักได้รับสิ่งตอบแทนเสมอ อย่างน้อยก็ต้องได้ความรักและความชื่นชมจากผู้อื่น เปรียบเสมือนผลักน้ำออกไปจากตัว น้ำก็ยิ่งจะไหลเข้ามาแต่คนที่มีแต่ความโลภอยากได้จากผู้อื่น กลับต้องเป็นผู้สูญเสีย ไม่ได้รับแม้แต่ความรักและความศรัทธา เปรียบเสมือนคนที่พยายามวักน้ำเข้าหาตัว น้ำก็จะยิ่งไหลออกไป
85. มีคู่แข่งได้ แต่ต้องไม่มีคู่แค้นการทำธุรกิจก็เหมือนการเล่นกีฬา ต้องมีคู่แข่ง มีผู้แพ้ผู้ชนะ แต่ต้องไม่มีคู่แค้น เพราะการมีคู่แค้นทำให้ธุรกิจนั้นมัวหมอง ไม่สดใส ไม่มีอนาคต
86. เกิดเป็นคน เงยหน้าต้องไม่อายฟ้า ก้มหน้าต้องไม่อายดินคนเราเกิดมาอย่ามุ่งแต่จะหาประโยชน์ใส่ตนจนกลายเป็นคนเอาเปรียบสังคม หรือ เบียดเบียนธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
87. คบคนดี ไม่สร้างศัตรูการคบคนดีก็เหมือนการคบบัญฑิต บัณฑิตพาไปหาผล การยอมกันสักนิดเพื่อไม่ต้องเป็นศัตรูกันจะดี เพราะการมีศัตรูเป็นหนทางสู่ความหายนะ

ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=wbj&group=1